counters
hisoparty

Valparaiso…So Colorful

1 year ago

ในทำเนียบเมืองสีฉูดฉาดต้องมีชื่อของ บัลพาไรโซ (Valparaiso) แห่งประเทศชิลี (Chile) ติดอยู่ในโผด้วยอย่างแน่นอน

          บัลพาไรโซมีสีสันจัดจ้านแซ่บซ่าส์ และไม่ว่าจะซอกแซกไปมุมไหนหรือเหลี่ยมไหนของเมือง ก็เปรอะเปื้อนไปด้วยสีสันอันฉูดฉาด สีขาวเป็นของหายากสำหรับที่นี่ และดูท่าว่าธุรกิจขายสีน่าจะรุ่งที่สุดในเมือง

          เมืองนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตของชิลี ที่พักส่วนใหญ่สร้างกันชนิดเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองเก่าได้เต็มตา หรือบางที่ก็สร้างแบบมีระเบียงยื่นไปให้แขกเหรื่อจิบมหาสมุทรแปซิฟิกกันให้จุใจไปข้างหนึ่ง แต่ไม่ว่าใครจะสร้างแบบไหนหรืออยู่มุมไหนของบัลพาไรโซ ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องสีสัน

          เมืองริมมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้เป็นหนึ่งในเมืองท่าที่สำคัญของชิลีเป็นทั้งเมืองท่าเมืองอุตสาหกรรม และเมืองท่องเที่ยว สมัยก่อนตอนที่สเปนเข้ามาครอบครอง บัลพาไรโซเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีไม่กี่หลังคาเรือน แต่ตอนนี้ภูเขาทั้งลูกเป็นสีสันฉูดฉาดไปทุกอณู จากคนหลักร้อยตอนนี้ทั่วทั้งบัลพาไรโซมีคนอยู่เกือบสามแสนคน

          ถึงจะเปลี่ยนไปเยอะ แต่ในแถบเมืองเก่ายังทะนุถนอมความเป็นอดีตเอาไว้อย่างดี จนองค์การยูเนสโก้ยกให้เป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี 2003 ที่ผ่านมานี้เอง

          ถ้าจะย้อนไปดูอดีตของบัลพาไรโซ หลังจากชิลีเป็นอิสระจากสเปน ก็ต้องบอกว่าช่วงศตวรรษที่ 19 บัลพาไรโซเป็นเมืองดาวเด่นที่มีบทบาทเหลือเกิน เพราะเรือเดินทะเลที่ต้องวิ่งจากมหาสมุทรแอตแลนติกผ่านช่องแคบแมคเจลันไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนใหญ่จะใช้บัลพาไรโซเป็นจุดแวะพัก จนถูกเรียกว่าเป็นอัญมณีแห่งคาบสมุทรแปซิฟิก แต่ยุคทองของบัลพาไรโซก็หมดลง หลังจากที่มีการเปิดใช้คลองปานามาเมื่อปี 1914 แทนที่เรือจะวิ่งลงไปอ้อมที่ช่องแคบแมคเจลลันก็วิ่งผ่านคลองปานามาแทน

          แม้จะถูกลดบทบาทลง แต่ทุกวันนี้ถ้ากวาดสายตามองไปยังท่าเรือที่อยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิก ก็ยังพอมีเรือเดินทะเลจอดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

          เนรูด้าตั้งบ้านหลังนี้ของเขาให้ชื่อเซบาสเตียนาตามชื่อเจ้าของโครงการก่อสร้างบ้านหลังนี้ บนระเบียงบ้านของเขามองออกไปจากบ้านนี้จะเห็นมหาสมุทรแปซิกฟิกและท้องฟ้าสีครามได้อย่างเต็มตา แต่เมื่อตอนที่เกิดแผ่นดินไหวปี 1960 บ้านหลังนี้ก็ได้รับผลกระทบไม่ใช่น้อย หลังจากผ่านพ้นทั้งแผ่นดินไหวและภัยทางการเมือง ทุกวันนี้บ้านของเขาทั้งในซานติอาโกและบัลพาไรโซถูกแปลงสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงทรัพย์สมบัติส่วนตัวและของสะสมของเขา

         นอกจากสีสันและความโรแมนติกที่ห่อห่มเมืองเก่าบัลพาไรโซเอาไว้ ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่จัดว่าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวบัลพาไรโซที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือกระเช้าที่ชาวเมืองเขาใช้โดยสารกันในชีวิตประจำวัน ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาถึงที่นี่โดยมากก็ลองขึ้นกัน เพราะค่าขึ้นก็ไม่ได้แพงเท่าไหร่ เที่ยวละประมาณ 300 เปโซชิลี

         ทั่วทั้งบัลพาไรโซอาจจะมีกระเช้าเก่าแก่หลายจุด แต่จุดที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นกันอยู่ที่สถานีคอนเซ็ปชั่น ข้อหาที่เป็นกระเช้าเก่าแก่ที่สุดสร้างตั้งแต่ปี 1883 อายุเกือบ 130 ปี กระเช้านี้เลยคลาสสิกกว่าจุดอื่นๆ พูดถึงย่านคอนเซ็ปชั่น เป็นย่านที่น่าเดินทอดน่อง เขามีโบสถ์เล็กๆ มีโรงแรมบ้านเรือนเก่าและคาเฟ่ที่ตั้งบนระเบียงผา อยากเห็นตัวเมืองทอดยาวขนานไปกับมหาสมุทรดูจากบนนี้ก็ได้

         ตัวเมืองบัลพาไรโซมีอีกหลายมุมที่น่ารัก เช่นตรงจัตุรัสจัสติเซียลานกว้างที่แวดล้อมไว้ด้วยอาคารที่มีความสำคัญ เช่น ศาล พระราชวังเก่าและอนุสาวรีย์วีรบุรุษของชาวบัลพาไรโซที่ตั้งอยู่ตรงกลางจัตุรัส

         ละแวกนี้จะมีรถราวิ่งกันให้ขวักไขว่ไปหมด ซึ่งถนนในบัลพาไรโซจะเป็นเส้นแคบๆ ทั้งเมือง ยังมีจัตุรัสมาทริซที่ชาวเมืองมานั่งสนทนาพาทีกันอย่างคึกคัก

         รอบๆ จัตุรัสเป็นตลาด ที่ขายของกินของใช้ให้ชาวเมือง และใกล้ๆ กันมีโบสถ์มาทริซด้วย ดูภายนอกถือว่าโบสถ์นี้สภาพใหม่มาก ที่จริงสร้างตั้งแต่ปี 1559 ถือว่าเป็นโบสถ์แรกในบัลพาไรโซด้วยซ้ำ แต่พอเจอแผ่นดินไหวครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้โบสถ์แห่งนี้เลยถูกสร้างขึ้นใหม่หลายรอบ เลยหาความเก่าแก่แทบไม่เจอ

         อีกมุมหนึ่งของบัลพาไรโซที่ฉายภาพให้เห็นความน่ารักน่าชังของเมืองคือถนนผ่าใจกลางเมืองที่มุ่งหน้าไปสู่จัตุรัสวิคตอเรีย ผ่านทั้งตลาดผักผลไม้ที่น่าเสียสตางค์ และพวกอาคารบ้านเรือนก็ดูสีสันสดใสไม่แพ้ย่านเมืองเก่า

         สุดทางอยู่ที่จัตุรัสวิคตอเรีย ลานเหลี่ยมขนาดเล็กอยู่ใจเมืองที่คับคั่งไปด้วยชีวิตชีวา ตรงกลางมีลานน้ำพุที่สวยงาม ว่ากันว่า อุปกรณ์ตกแต่งน้ำพุทุกอย่างเขาอิมพอร์ตมาจากฝรั่งเศส รอบๆมีเก้าอี้นั่งที่แทบไม่มีมุมไหนว่าง ผู้คนที่นี่เขานิยมออกมานั่งเล่นกันตามจัตุรัสและสวนสาธารณะยิ่งเป็นช่วงเย็นๆ ก็จะมีพวกพ่อค้าแม่ค้านำของแฮนด์เมดออกมาวางขายกันเต็มไปหมด

         ตรงข้ามกับจัตุรัสเป็นวิหารประจำเมืองบัลพาไรโซนี่คือวิหารที่ใหญ่ที่สุดของเมือง แต่ก็ดูขนาดย่อมถ้าเผลอไปเทียบเซนต์ปีเตอร์แห่งวาติกันหรือซากราดา ฟามีเลียร์แห่งบาร์เซโลนา

         ก็เหมือนกับโบสถ์อื่นในชิลี เริ่มสร้างในช่วงปี 1930 แต่มาเสร็จสมบูรณ์ตอนปี 1948 ไม่ทันไร พอปี 1971 ก็โดนแผ่นดินไหวทะลายตัวโบสถ์ลง จนต้องสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้ง และประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก พอปี 1985 ก็เกิดแผ่นดินไหวอีกรอบ พอบูรณะรอบนี้ก็สร้างหอระฆังขึ้นใหม่ คงเพราะสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตัววิหารที่มองจากด้านหน้าก็เลยดูใหม่เอี่ยม เข้าใจว่าโบสถ์ในบัลพาไรโซคงเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด

         ปกติคนมาเที่ยวบัลพาไรโซ จะไม่ได้ขังตัวเองอยู่แค่เมืองนี้ เพราะบัลพาไรโซมีบ้านพี่เมืองน้องอย่างบินยา เดล มาร์ (Vina Del Mar) ที่ห่างจากบัลพาไรโซไปแค่ประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้ว

         บินยา เดล มาร์เป็นเมืองมากฉายา นอกจากชื่อเมืองจะแปลว่าเป็นไร่องุ่นที่อยู่ริมทะเล แต่ก็ยังมีคนยกให้เป็นการ์เดน ซิตี้ หรือบางทีก็เรียกว่าไข่มุกริมแปซิฟิก หน้าตาของเมืองดูทันสมัยและใหม่เป็นคนละเรื่องกับบัลพาไรโซ คนรุ่นใหม่ของบัลพาไรโซนิยมมาใช้ชีวิตทำงานกันที่นี่กันมากขึ้น

         อีกอย่างอาจจะเป็นเพราะบินยา เดล มาร์ เป็นเมืองที่มีความบันเทิงเริงใจเสิร์ฟนักเที่ยวอย่างครบถ้วน มีทั้งไนท์ไลฟ์ ผับ บาร์ คาเฟ่ริมหาด แถมยังเป็นเมืองที่มีคาสิโนและโรงแรมชั้นดีมากมาย และความที่เป็นเมืองทันสมัย แต่ละปีที่นี่เลยมีการจัดเทศกาลใหญ่ๆ ที่ดึงนักท่องเที่ยวให้มารวมตัวกันที่นี่ได้เป็นจำนวนมาก ทั้งเทศกาลหนัง เทศกาลดนตรี รวมถึงยังเป็นเมืองที่มีโรงละครเอาไว้ให้ชมการแสดงดีๆ มีพิพิธภัณฑ์ดีๆ ให้ชมงานศิลปะมากมาย หรือใครอยากชมสถาปัตยกรรมที่ดูทันสมัย รอบๆ เมือง บินยา เดล มาร์ก็มีสถานที่เก่าแก่หลายแห่งที่น่าชม

         เชื่อเถอะว่าทั้งบัลพาไรโซและบินยา เดล มาร์จะทำให้นักเดินทางจากมาด้วยหัวใจที่ฉ่ำสีสันอย่างแน่นอน

Story & Photo By กาญจนา หงษ์ทอง

SHARE