การเจริญเติบโตของเมล็ดพันธุ์จากครอบครัว งอกเงยภายในโรงเพาะชำที่เรียกว่า ‘บ้าน’ การสืบสานดีเอ็นเอจึงถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เมื่อลูกชายคนโตของบ้านกมลวิศิษฎ์ ‘คุณจอนนี่ - คุณธิติธรรม กมลวิศิษฎ์’ เจ้าของและผู้บริหาร บริษัท บุญกมล อิเล็คทริคดีไวซ์ จำกัด และ บริษัท บีพีเอ บุญรัตน์พัฒนา แอสเซท จำกัด เดินทางกลับมายังเมืองไทย หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากประเทศอังกฤษ ทำให้เขาได้มีโอกาสพบกับลูกสาวคนโตของบ้านบุญญลักษม์ ‘คุณเบญ - ดร. กัลยานี บุญญลักษม์ (กมลวิศิษฎ์)’ ที่ปัจจุบันนอกจากดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์แล้ว เธอยังคอยเคียงบ่าเคียงไหล่สามีในการให้คำปรึกษาและซัพพอร์ตด้านการทำธุรกิจ จนนำมาสู่เรื่องราวที่กลายเป็นเรื่องเล่าอันเกิดความรักของคนสองคน
สำหรับเส้นทางความรักของคุณจอนนี่ และ คุณเบญ เกิดจากการมองตามมุมด้วยหลักความเป็นจริงของชีวิต ผ่านวิธีคิด และทัศนคติ โดยมีครอบครัวเป็นจุดศูนย์กลาง
คุณเบญ “จริงๆ ชีวิตคู่ของเราเดินมายาวนานมากนะคะ เราเป็นเด็กรุ่นเก่าที่คบกันสักระยะ ก่อนจะมาใช้คำว่าชีวิตคู่ เพราะคำว่าชีวิตคู่ต้องดูกันยาวๆ และมีสติอยู่กับทุกช่วงชีวิต โดยเราสองคนเริ่มรู้จักกันตั้งแต่ปี 2008 ตอนนั้นคุณจอนนี่เพิ่งเรียนจบกลับมาจากอังกฤษ ขณะเดียวกันเบญก็กำลังจะเรียนต่อปริญญาเอก เรามีโอกาสได้ร่วมงานกัน ต้องทรานเฟอร์งานกันหลายๆ ส่วน พอเราคุยไปเรื่อยๆ ในเรื่องดีเทลการทำงาน ในเรื่องของการใช้ชีวิต ทำให้เราจูนกันติด จากเพื่อนที่ทำงานเป็นเพื่อนคุย จากเพื่อนคุยก็กลายเป็นเพื่อนเล่น เพราะว่าเราเล่นเกมด้วยกันในตอนกลางคืนก่อนนอน”
คุณจอนนี่ “พอเราได้มีการพูดคุยกัน ได้เห็นทัศนคติของเขา มองภาพรวมทัศนคติของผมและของคุณเบญ รวมทั้งฝั่งครอบครัวคุณเบญ เรามีแค่มีหน้าที่จูนเข้าหากัน เป็นการวางแผนระยะยาว ดูทิศทางว่าจะเป็นไปแบบไหน ทุกอย่างต้องมองไกลๆ ไม่สามารถมองว่าวันนี้เป็นอย่างนี้ แล้วอนาคตก็จะเป็นแบบนี้ ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามอายุครับ”
เริ่มต้นใช้คำว่าคู่ชีวิต
คุณเบญ “หลังจากคบกันประมาณ 2-3 ปี เราสองคนก็แต่งงานกันในปี 2011 ถึงวันนี้ปี 2025 เราอยู่ด้วยกันมานานผ่านแต่ละ Chapter ของชีวิต ตั้งแต่ก่อนมีลูก จนกระทั่งมีลูกคนแรก คนที่สอง คนที่สาม และคนที่สี่ มีทั้งดีใจ เสียใจ และภูมิใจ เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันมา 10 กว่าปี มีสองส่วนที่เราคุยกันทุกวัน คือ หนึ่ง ต้องมีสติ เพื่อตัดสินใจหลายๆ เรื่องในชีวิต และ สอง ต้องมีสตางค์ เคยถึงขั้นจะตั้งชื่อลูกว่าน้องสติกับน้องสตางค์ แล้วคุณจอนนี่ขำมาก (หัวเราะ) เบญมองในเรื่องของครอบครัว ต้องใช้สองสิ่งนี้เพื่อพัฒนาชีวิตไปเรื่อยๆ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้”
คุณจอนนี่ “ผมมองว่าทุกอย่างไม่สามารถบอกได้ว่าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยแต่ง เราอย่าไปคิดว่ายังไม่พร้อม เราต้อง Push Position ไปอยู่จุดนั้น มองภาพรวมร่วมกัน ครอบครัว นิสัยใจคอ ทุกอย่างเข้ากันได้ หลังจากนั้นคืออนาคต ชีวิตคู่มีอุปสรรคอยู่แล้ว แต่เราต้องมีการเตรียมตัวไว้บ้าง ถ้าเมื่อไหร่เริ่มเดินไปในเจอร์นี่ของการแต่งงาน หากเจอปัญหา สิ่งที่ทำได้ก็คือแก้ไข ไม่มีอะไรสมูธไปทุกอย่างหรอกครับ เรามีหลายอย่างต้องเรียนรู้ ตอนนี้เราไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไร เราแค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ต้องดูว่าเราอยู่ด้วยกัน เรายืดหยุ่นกันไหม ถ้าเขาร้อนมาเราร้อนตอบ ทุกอย่างก็ไหม้หมด หรือถ้าเขาเย็นมาเราเย็นกลับมันก็ยิ่งเฉื่อย มันต้องมีความบาลานซ์กัน บางครั้งการมีอะไรเหมือนกันมันก็ดี แต่หลายครั้งความแตกต่างก็สามารถพยุงให้เกิดความบาลานซ์ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะทำอะไร ทั้งแฮปปี้ ซัคเซส เฟล เขาก็จะอยู่ข้างกายผมตลอด มันเป็นการดูระยะยาว เหมือนที่ผมบอกมาตั้งแต่แรก”
ความแตกต่างที่ลงตัว
คุณเบญ “เนื่องจากคุณจอนนี่เป็นเด็กอังกฤษ เขาจะตรงต่อเวลา เขาจะเป๊ะทุกเรื่อง ห้ามกินขนมในห้อง ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งตรงกันข้ามกับเบญที่โดนสปอยล์ทุกอย่างมาตั้งแต่เด็ก กินอะไรก็ได้ กินในห้องก็ได้ แต่พอไปอยู่กับคุณจอนนี่ก็ต้องปรับค่ะ แรกๆ เบญก็เอ๊ะอยู่หลายอย่าง หลังๆ ก็พยายามทำให้ได้ พอเริ่มโตขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง คุณจอนนี่สนใจเรื่อง Wellness เขาก็จะมาแนะนำเบญในเรื่องของการออกกำลังกาย ต้องออกแบบนี้ ต้องกินแบบนี้ ต้องนอนก่อนเวลานี้ เมื่อไหร่ที่เบญทำได้เขาจะแฮปปี้มีความสุข ซึ่งทุกอย่างที่เขาอยากให้เบญทำก็เพื่อตัวเบญเอง ในระยะยาวเขาไม่ได้อยากดูแลเราในลักษณะของการนอนเจ็บป่วย แต่เขาอยากให้เราได้วิ่ง ได้เดิน ได้เล่น ได้ดูลูกๆ ไปกับเขา”
คุณจอนนี่ “ผมชอบดูแลสุขภาพ ชอบออกกำลังกาย ชอบกินอาหารที่มีประโยชน์ รู้ว่าต้องกินอะไรก่อน กินอะไรหลัง ควรกินอะไร ไม่ควรกินอะไร เป็นความสนใจส่วนตัวของผมที่มีต่อเรื่องนี้ ส่วนบางอย่างที่ผมไม่เก่ง หรือว่าผมไม่ได้ชอบ อย่างเช่น การแต่งตัวด้วยของแบรนด์เนม หรือคอลเลกชันต่างๆ แต่บางอย่างเราก็ต้องมีติดตัวเอาไว้เพื่อออกงานสังคม ทางคุณเบญก็ชอบช่วย ชอบดู ชอบเลือก ชอบจัดการให้ผม เพราะผมเป็นคนที่ไม่สนใจในเรื่องที่เราไม่ได้ Expert หรือเรามองข้ามจุดๆ นั้นไป”
ความเหมือนที่ลงตัว
คุณจอนนี่ “ส่วนเรื่องที่เหมือนกัน ผมมองว่าเป็นวิสัยทัศน์ หรือการทำงานที่เราเป็นคนไม่ค่อยชอบอยู่นิ่ง เราชอบหา Opportunity ต่างๆ ชอบไปต่างประเทศ ชอบดูว่าเขาทำอะไร ขายอะไร ทำไมเขาชอบใช้ของแบบนี้ ทำไมคนไทยไม่ใช้ เอาเข้ามาขายดีไหม ชอบมองหลายๆ อย่าง ชอบเปิดหูเปิดตา มันเลยทำให้เราเป็นคนไม่หยุดนิ่ง บางคนบอกไม่อยู่ประเทศไทยเลย วันๆ เอาแต่เที่ยว ใช่ครับ เราไปเที่ยวเพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงในสิ่งที่เราเป็นให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของธุรกิจที่อยากทำเพิ่มในอนาคต วิสัยทัศน์ หรือว่าการทำงานร่วมกับคนอื่น ถ้ามีโอกาสไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้เยอะ เราจะเห็นมากกว่าคนอื่น เราจะมีโอกาสปรับปรุง เราสองคนเบรนสตรอมกันตลอด อย่าลืมว่าเรามีลูก 4 คน ค่าใช้จ่ายก็ไม่ธรรมดา บวกกับสิ่งที่เราอยากมอบให้ลูกๆ ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เราอยากให้ในสิ่งที่เขาอยากได้ แต่เราก็ต้องสอนให้เขาใช้เงินเป็น สอนให้ประหยัด และสอนให้ตั้งใจเรียน เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อซัพพอร์ตพวกเขาในอนาคต”
คุณเบญ “เบญเป็นคนชอบเที่ยว เคยมีช่วงหนึ่งโรงเรียนที่เมืองไทยปิด เบญก็หอบลูกไปอยู่ต่างประเทศ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เราก็แฮปปี้ พอมองย้อนกลับไปรู้สึกว่าสิ่งที่เราตัดสินใจดีกับตัวลูก ดีกับตัวเรา เป็นประสบการณ์ที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต เป็นเรื่องที่เงินซื้อไม่ได้ เป็นเรื่องของความรู้สึก วิธีการคิด เราเองต้องเป็นคนหล่อหลอมทุกๆ เรื่อง เราเป็นพ่อแม่ที่พูดไม่ค่อยเก่ง เราจึงเลือกใช้การ Push up ให้เขาได้รับได้ซึมซับ เราไม่มีเวลามากพอที่จะบอกเขาว่า 1-10 You have to do this / You have to do that แต่เราทำให้เขาเห็นเป็น Full Picture ว่าอันไหนถูก หรืออันไหนผิด”
ช่วงเวลา 6 เดือนกับการอยู่ด้วยกันในอเมริกา
คุณจอนนี่ “ช่วงโควิดเราย้ายไปอยู่อเมริกา เรามีโอกาสพาลูกทั้ง 4 คน ไปอยู่ที่โน่น คนเล็กก็ฉลองครบ 6 เดือนที่อเมริกา ทุกคนก็งงว่าจะไปกันยังไง เพราะปกติจะมีพี่เลี้ยง พอไปถึงเรามีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ผมเป็นคนขับรถรับ-ส่งเด็กๆ ทุกเช้าและบ่าย ทำงานบ้านล้างจาน ถูพื้น ล้างห้องน้ำ ส่วนคุณเบญดูแลเรื่องเสื้อผ้า ซักผ้า รีดผ้า พับเก็บ เรื่องอาหารทุกอย่าง เมื่อเราแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ทุกอย่างก็ลงตัว การที่เราไปอยู่อเมริกา 6 เดือน โดยไม่มีพี่เลี้ยง กลับไม่มีปัญหาเลย เด็กๆ ก็โตได้เยอะขึ้น สามารถอาบน้ำเอง แปรงฟันเอง ใส่เสื้อผ้าเอง จัดการกิจวัตรทุกอย่างด้วยตัวเอง”
เทคนิคเติมความหวานให้ชีวิตคู่ราบรื่น
คุณเบญ “ในมุมของเบญและคุณจอนนี่จะเป็นในลักษณะของการชวนกันไปทานข้าว ไม่ต้องเป็นร้านที่หรูหรา ขอแค่มีเวลาว่างตรงกันก็พอ โดยปกติเราจะไม่มีเดทที่ตายตัว เบญไม่ได้รับของขวัญมานานแล้ว เพราะเวลาเราอยากได้อะไรก็บอกเขาตรงๆ ไม่ต้องรอวันสำคัญอะไร วันนี้เราอยากได้อะไร เราก็คุยกันวันนี้ เขาให้ได้หรือไม่ได้เขาก็จะบอก เบญไม่คาดหวัง เมื่อไม่คาดหวังมันก็ไม่รู้สึกช้ำใจ ชีวิตคู่มันก็เลยอาจจะ Stable นิ่งๆ แต่มันอยู่ยาวๆ บางครั้งถ้าเขาอารมณ์ดี ก็จะถามว่าวันนี้อยากกินอะไร วันนี้อยากทำอะไร แต่ถ้าวันนั้นเป็นวันที่เบญอยากซื้อของ เขาก็จะพาไป เบญช้อปคุณจอนนี่ดูลูก เวลาไปเอาท์เลทเขาจะแฮปปี้มาก เพราะราคาดี เลยทำให้รู้สึกว่ามันไม่มีวันสำคัญสำหรับเบญ เพราะทุกวันคือความสุขเท่านั้นพอ”
คุณจอนนี่ “อย่างที่คุณเบญบอก เราไม่ได้มีอะไรที่เซอร์ไพร์สซักเท่าไหร่ เพราะเวลามีอะไรที่จะเซอร์ไพร์สมันกลายเป็นช็อกแทน เพราะเขาไม่ชอบ (ยิ้ม) เลยต้องเป็นการคุยว่าอยากได้อะไรก็ไปซื้อ อยากทานอะไร บางทีถ้าเราไม่อยาก แต่เขาอยากก็สลับกัน มันจะเป็นการคุยกันมากกว่า เป้าหมายของเราอยากซื้ออันนี้นะ อยากได้อะไรคุยกันตรงๆ ดีกว่า มันก็สบายใจทั้งสองฝ่าย แล้วก็ได้สิ่งที่เราอยากได้ จะไม่ค่อยมีอะไรมาเซอร์ไพร์สกัน เพราะว่ากลัวกลัวช็อก (หัวเราะ)”
คุณเบญ “เดี๋ยวมีอาฟเตอร์ช็อก”
ของสะสมอันเป็นที่สุดในใจ
คุณเบญ “วันที่เราเป็นเด็กเราก็มีแบรนด์ในใจ คำว่ามีแบรนด์ในใจ ในมุมมองของเบญ เราก็อยากจะได้กระเป๋าแบรนด์ระดับท็อป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมูลค่า พูดถึงแค่แบรนดิ้งก่อน เบญเป็นคนชอบแบรนด์ แล้วก็คิดว่าแบรนด์อะไรที่อยากจะมีในชีวิต รู้สึกว่าต้องเก็บ และแบรนด์ไหนที่เราอยากจะใช้ตั้งแต่วันนี้ไปได้เรื่อยๆ บวกกับคุณจอนนี่จะเป็นลักษณะของคนที่เวลาทำอะไรก็ทำให้สุด พอเขาเป็นแบบนี้มันทำให้เบญครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ ของสะสมเบญวันนี้มันก็เลยเป็นที่สุดแล้ว ทั้ง Hermès Diamonds Himalaya Birkin 25, Hermès Kelly 25 และ ด้วยความชอบเดินทางท่องเที่ยวเบญเลือก R.M.S Cabin Suitcase ไว้ถือขึ้นเครื่องบินค่ะ”
จากมุมมองของคนเป็นลูกที่เอาใจใส่ให้ความสำคัญกับการดูแลครอบครัว
คุณเบญ “อย่างที่บอกว่าคุณจอนนี่อยากได้อะไรก็ต้องสุด ตอนนั้นเรามีรถซุปเปอร์คาร์ที่สามารถนั่งได้แค่สองคน เบญรู้สึกว่าวันนั้นเราเด็ก เรารู้สึกว่าไม่อยากให้อายุเยอะแล้วค่อยขับซุปเปอร์คาร์ จนกระทั่งมองย้อนกลับไปว่าเราหลงลืมคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านอายุเยอะ ท่านเกษียณอายุการทำงาน จะเหลือเวลากับเราอีกนานแค่ไหน ถ้าวันนี้เราเลือกรถที่ขับได้ ทำไมเราไม่ลองเปลี่ยนเป็นรถที่คุณพ่อคุณแม่ต้องนั่งได้แทน จากวันนั้นถึงวันนี้เบญก็เลยเปลี่ยนมาใช้โรลส์-รอยซ์ 4 ประตู เพราะฉะนั้นพอได้รถคันนี้มาสิ่งที่เบญทำคือ สลับกันไปรับคุณพ่อคุณแม่ของเบญ และคุณพ่อคุณแม่ของคุณจอนนี่ แบ่งทำเป็นรูทีน ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่ได้คิดแบบนี้เลย”
คุณจอนนี่ “ผู้ใหญ่จะชอบบอกว่าทำงานให้ได้เงินก่อนแล้วค่อยใช้ แต่ผมกลับมองว่ามีอะไรซื้อได้ก็ซื้อก่อน วันนี้ยังมีแรงทำงาน ไม่ว่าจะลุยขนาดไหน แต่วันนี้เรายังมีแรง ทำไปก่อน พอถึงเวลาในอนาคตมีเงิน แต่ไม่มีแรง เป็นการมองคนละแบบ เราก็อยากมีรถคันนี้ เพื่อใช้กับผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ทั้งสองฝั่ง รวมถึงเด็กๆ ที่จะมีโอกาสได้ใช้ด้วย เป็นการแชริ่ง”
สถานที่ท่องเที่ยวในความทรงจำ
คุณเบญ “เกาะโบราโบร่า เบญไปครั้งแรกกับเพื่อน เบญรู้สึกว่าที่นั่นมันสวยมากๆ เลยกลับมาบิ๊วคุณพ่อกับคุณจอนนี่ พวกเราเลยได้ไปด้วยกันตอนมีลูกสองคน จนล่าสุดที่เราก็ได้ไปด้วยกันกับลูกทั้ง 4 คน ด้วยความที่เกาะอยู่ค่อนข้างไกลมาก ต้องบินหลายต่อ ค่าใช้จ่ายเยอะ ล่าสุดเด็กก็มี Experience ต้องนอนที่สนามบิน เพราะไฟล์ทบินเลื่อนไม่เป็นไปตามเวลา ซึ่งมันสอนให้เขาได้รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะแบบเป๊ะทุกเรื่อง จะต้องยืดหยุ่น ต้องคุยกันได้”
คุณจอนนี่ “มีหลายที่ที่ประทับใจ โบราโบร่า ฮาวาย ฟลอริดา ที่มีทั้งซีเวิลด์ ดิสนีย์เวิลด์ ยูนิเวอร์แซล หรือ อลาสก้า แต่ล่าสุดเพิ่งไปเคนย่ามา 2 อาทิตย์ เด็กๆ แฮปปี้มาก กลับมาเขายังพูดถึง เราก็คิดว่าลูกแค่ 3 ขวบกว่า คงลืมไปแล้ว แต่เขายังจำได้อยู่เลยว่าเขาเจอสัตว์อะไร ทักทายเป็นภาษาพื้นเมืองว่ายังไง จำได้หมดทุกอย่าง มันก็เป็นประสบการณ์ดีๆ ที่เด็กๆ เขาได้รับตั้งแต่เล็กในการเดินทางไปหลายๆ ประเทศ หลายๆ ทวีป”
คุณเบญ “เราจองทริปเคนย่ามาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเรามีลูกแค่ 3 คน จนกระทั่งโควิดเดินทางไม่ได้ 2 ปี แล้วเราก็มีลูกอีกคน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เบญค่อนข้างจะใจดี ท่านไม่สามารถเลือกให้หลานคนใดคนหนึ่งไป ท่านบอกไม่เป็นไร ให้พาไปทั้งหมด”
เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ติดลูกๆ ทั้ง 4 คน
คุณเบญ “ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน ให้ไปไหนสองคนเราไม่ไปนะ เพราะจะรู้สึกเป็นห่วงลูก ยิ่งเห็นสิ่งแวดล้อมปัจจุบันยิ่งเป็นห่วง เหมือนอะไรที่เราทำให้เขาได้เราจะทำ อย่างลูกคนโตก็ 10 ขวบแล้ว คนที่สอง 9 ขวบ เดี๋ยวอีกสักพักเขาก็จะต้องไปเรียนต่างประเทศ มีวันหนึ่งเขาทำให้เบญโกรธเล็กๆ น้อยๆ วันนั้นเราเลยไม่ได้นอนด้วยกัน ปกติเบญชอบเอาลูกมานอนด้วย เช้ารุ่งขึ้นอีกวันเขาก็มาเล่นทำให้เราลืมในสิ่งที่เขาทำให้โกรธ ทำให้เขาต้องนอนคนเดียว เบญเลยพูดกับลูกว่า วาเลนไทน์ รู้ไหมว่าเหลือเวลากับหม่ามี๊ไม่นาน วาเลนไทน์ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ ทำไมวาเลนไทน์ยังทำตัวแบบนี้ มันหายไปหนึ่งคืนที่เราจะได้นอนด้วยกัน แล้วลูกก็พูดออกมาว่า หม่ามี๊ไทน์ขอโทษ มันทำให้เราไม่อยากให้เขาไปเรียนเลย”
คุณจอนนี่ “จริงๆ ลูกทั้งสี่คน ทุกคนแยกกันนอนตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่พอถึงเวลาที่เด็กๆ จะต้องไปเรียนต่างประเทศ ผมบอกว่าทุกคนไม่ต้องไปนอนคนเดียวละ เพราะเราฝึกมาให้นอนคนเดียวได้อยู่แล้ว ตอนนี้มานอนด้วยกัน เดี๋ยวอีกไม่นานเขาต้องไปเรียนต่างประเทศกันแล้ว เราเลยอยากเก็บเวลาตรงนี้ไว้ก่อน”
การปลูกฝังจากครอบครัวสู่อีกหนึ่งครอบครัว
คุณเบญ “ครอบครัวของเบญเป็นนักธุรกิจมาตลอด ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ถูกซะทีเดียว เพราะคุณปู่ท่านเป็นข้าราชการเก่า แต่ความมีวินัยของท่าน สามารถเก็บเงินบำเหน็จบำนาญมามอบให้กับคุณพ่อคุณแม่ในวันแต่งงาน เพื่อนำมาสร้างธุรกิจ จากวันนั้นถึงวันนี้ คุณพ่อก็สอนมาตลอดด้วยการทำให้เห็นว่า ไม่มีใครคนไหนบนโลกโชคดีมีเงินมากองตรงหน้า แต่สิ่งที่จะทำได้ คือ ระเบียบ และความขยันอดทน คุณไหว้พระก็จริง คุณเป็นคนดีก็ใช่ แต่ถ้าคุณไม่ทำมาหากิน เงินมันจะมาจากไหน มันเป็นเรื่องของการปลูกฝัง คุณต้องทำยังไง ใช้ชีวิตยังไง ยิ่งคุณเป็นคนใช้เงินเยอะ คุณยิ่งต้องหาเงินเก่ง”
คุณจอนนี่ “ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ รุ่นอากง เดินทางมาจากเมืองจีน มีแค่ที่นอนอย่างเดียว จนเขาผลักดันคุณพ่อคุณแม่ให้มาถึงทุกวันนี้ ผมเป็นพี่ชายคนโต เรามีแรงที่ออกไปสู้ ออกไปหาอะไรที่ทำให้ Successful เนื่องจากเรามีลูก 4 คน เป็นคนไม่หยุดนิ่ง ก็เลยพยายามหาอะไรหลายๆ อย่างทำ เหมือนกับประโยคที่ว่า If you are born poor it’s not your mistake, but if you die poor it’s your mistake เพราะเรามีชีวิตทั้งชีวิตประมาณ 60-70 ปี เราต้องใช้ให้คุ้ม เมื่อมีลูกก็ต้องอยากให้ลูกได้ดี แล้วจะทำอย่างไร เราก็ต้องผลักดันให้ลูกเรียนหนังสือได้เก่ง ทุกวันนี้เราสองคนพยายามสร้างอาณาจักรให้พวกเขาอยู่ และด้วยความที่เรามีลูกเยอะ เราก็ต้องทำหลายธุรกิจ แตกไลน์กันไปว่าลูกคนโตเราอยากให้เขาได้ทำธุรกิจนี้ คนที่สองอยากให้ทำอีกธุรกิจ เราเข้าใจว่าในอนาคตไม่สามารถบังคับเขาได้ มันอยู่ที่ว่าเขาอยากทำหรือเปล่า หรือเขาอยากเป็นอาร์ทิสต์ไปอยู่ตามเกาะอะไรก็ได้ ทุกอย่างมันเป็นไปได้หมด เราแค่มีหน้าที่สร้างทุกอย่างให้มันพร้อม ส่วนพวกเขาก็มีสิทธิ์เลือกว่าในอนาคตอยากทำ หรือไม่อยากทำ”
นิยามคำว่า ‘บ้าน’
คุณจอนนี่ “ถ้าบ้านในความหมายของคำว่า House ก็แปลว่าบ้านหลังหนึ่งที่ใครจะเข้าจะออกก็ได้ ฉะนั้นเราน่าจะพูดถึงคำว่า Home มากกว่า เพราะ Home มีคำว่าครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับลูก กับภรรยา มีกิจกรรมหลายอย่างได้ทำด้วยกัน ทุกคนอยู่แล้วมีความสุข ทุกวันนี้ผมโชคดีที่ลูกๆ ชอบอยู่บ้าน เวลาไปที่ไหน หรือไปต่างประเทศนานๆ เขาจะอยากกลับบ้าน ผมเลยมองว่าเป็นจุดที่ดี บ้านของเราเป็นศูนย์กลางที่มีคุณพ่อคุณแม่ มีคุณอาที่สามารถเดินข้ามมาหาได้ มีอากงอาม่าที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ทุกอย่างมันอยู่ตรงนี้หมด ผมเลยต้องสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมของบ้านให้ลูกๆ อยู่แล้วมีความสุข บ้านเรามีสระว่ายน้ำ มีสนามหญ้า บ้านเราเลี้ยงเต่าที่สามารถพาไปเดินเล่น มีเปียโนที่เด็กๆ สามารถเล่นได้ หรือจะดูทีวี เล่นเกม บางครั้งก็เข้าครัวมาช่วยผมทำอาหาร มีกิจกรรมหลายๆ อย่างอยู่ที่บ้าน ทำให้ทุกครั้งที่เขารู้สึกล้า เขาอยากกลับบ้าน เพื่อมาอยู่ด้วยกัน”
คุณเบญ “เบญมองว่าบ้านเป็นทุกๆ อย่าง สิ่งที่หล่อหลอมเรามาตั้งแต่พื้นฐานเลยก็คือบ้าน ถ้าบ้านเราดี แข็งแรง ปูพื้นฐานทุกเรื่องตั้งแต่เล็ก เมื่อต้องไปอยู่ไปที่ไหนก็ตาม เบญว่าลูกก็จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ทุกอย่างที่มันจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดี หรือแย่แค่ไหน เขาจะสามารถรับมือได้เท่านั้นเอง”
ปัจจุบัน ‘คุณจอนนี่ - คุณธิติธรรม กมลวิศิษฎ์’ และ ‘คุณเบญ - ดร. กัลยานี บุญญลักษม์ (กมลวิศิษฎ์)’ มีทายาทด้วยกัน 4 คน คือ น้องวาเลนไทน์ น้องเวย์ลานี่ น้องเวิร์คเบียร์ และ น้องเวเน่โน่ ลูกสาวและลูกชายอันเป็นดวงใจที่ทำให้บ้านหลังใหญ่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
Author By : Ouamporn Donsingha