counters
hisoparty

LOOK ON THE BRIGHT SIDE - คุณนรภัทร วิไลพันธุ์

1 year ago

หากเราทำความรู้จักใครสักคน ผ่านการบอกเล่าของคนอื่นผ่านหน้าจอ ผ่านกระดาษ ผ่านบทสัมภาษณ์ที่ตัดมา เราคงตัดสินเขาไปแล้วว่า เขาเป็นเพียงนักแสดงชายคนหนึ่งที่หน้าตาดี และกำลังเป็นกระแสฮอตในหมู่สาวๆ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นเพียงแค่นั้นคงไม่มีความน่าสนใจอะไร แต่เมื่อมีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกับเขาแบบจริงๆ จังๆ ทำให้เรารู้เลยว่า เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใคร หากไม่ได้สัมผัสกับเขาจริงๆ นี่จึงเป็นที่มาของ LOOK ON THE ‘BRIGHT’ SIDE กับ คุณไบร์ท - นรภัทร วิไลพันธุ์ พร้อมเรื่องราวอีกหลายแง่มุมที่เราอยากให้ทุกคนได้เรียนรู้ตัวตนจริงๆ ของเขาไปพร้อมๆ กัน

ชีวิตวัยเด็กของ ด.ช.นรภัทร วิไลพันธุ์
          “ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวเล็กๆ มี 3 คน พ่อแม่ลูก ชีวิตไม่ได้สบาย แต่ไม่ได้ลำบาก หรือหากพูดจริงๆ ลำบากนะ แต่ว่าพ่อแม่ไม่ให้เรารู้ว่าบ้านเราลำบากอยู่ เราเลยไม่รู้สึกว่ามันลำบากอะไรเลย บ้านเราไม่มีหนี้แต่ไม่มีเงิน อยู่กันอย่างประหยัด แต่สิ่งที่ไบร์ทภูมิใจมากๆ คือ ถ้าเป็นเรื่องเรียน พ่อจะให้ทุกอย่าง ไม่ให้เราสัมผัสกับคำว่าลำบากเลย ครอบครัวเราแม้พ่อแม่ไม่ได้หวานแหววกัน แต่เราก็อบอุ่น ไม่ขาด แต่ด้วยความเป็นลูกคนเดียวก็มีเหงาบ้าง ตอนเด็กๆ จำได้ว่างอแงใส่แม่ว่าอยากมีพี่ (หัวเราะ) คือโคตรต๊องเลย อยากมีพี่ไม่ได้อยากมีน้อง งอแงบ่อยมาก แต่มีบางช่วงก็อยากมีน้อง และแม่จะบอกว่าถ้ามีน้องขนมต้องแบ่งกับน้องคนละครึ่งนะ เราก็ไม่เอาแล้ว คือตอนเด็กจะเห็นแก่กินนิดนึง เป็นเด็กอ้วนๆ (หัวเราะ) 

          “แม้ว่าเราจะเป็นลูกคนเดียว แต่พ่อแม่ไม่ได้กดดันผมเลย เป็นผมต่างหากที่กดดันตัวเอง แม่ค่อนข้างที่จะชิลมาก ตามใจลูกสุดๆ ไปเลยถ้าแบ่งแนวกัน พ่อคืออยากให้ลูกเรียนสูงๆ แต่แม่อยากให้ลูกไม่เครียดแค่นั้นเลยครับบ้านผม และบ้านเราจะมีแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน คือ พ่อทำงานหาเงิน แม่ทำงานบ้าน ส่วนไบร์ทตั้งใจเรียน ซึ่งจะไม่มีใครก้าวก่ายกัน ต่างคนรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ทำอย่างนี้กันมาตลอด ทำให้ผมโตมาผมทำงานบ้านไม่เป็นเลยนะ (หัวเราะ) อีกอย่างตอนเด็กผมเป็นเด็กตั้งใจเรียนชอบไปแข่งโน่นแข่งนี่ตลอด จนถึงช่วงเข้าเรียนมัธยม จากเราเป็นเด็กที่เก่งที่สุดในรุ่น พอไปเรียนมัธยมขึ้นม.1 อยู่ห้อง Gifted โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต ไปเจอโลกที่กว้างกว่าโรงเรียนที่เราเรียนมา เราก็ไม่ใช่อันดับหนึ่งแล้ว มันจึงเกิดทางแยกขึ้นสองทางว่า เราจะสู้เพื่อไปสู่อันดับหนึ่ง หรือปล่อยใจสบายๆ ชิลๆ ไป ซึ่ง ม.1 ผมยังตั้งใจเรียนอยู่ แต่พอ ม.2 ผมเริ่มสนใจอย่างอื่นที่ไม่ใช่การเรียนล่ะ เริ่มติดเพื่อน เริ่มทำกิจกรรม ซึ่งเราก็ไม่ได้รู้สึกแย่หรือรู้สึกผิด เรารู้สึกว่ามันสนุก ตอนนั้นเลิกเรียนเราไปเตะบอลกับเพื่อน ทำให้เราเริ่มละเลยการเรียน ไม่ทิ้งนะ แค่ไม่ได้ตั้งใจเท่าเดิม แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ทิ้งมันไม่ลง เพราะที่สุดแล้วเรารู้อยู่เสมอว่า การศึกษาเท่านั้นที่เปลี่ยนชีวิตได้”

การศึกษาเท่านั้นที่เปลี่ยนชีวิตได้
          “นี่คือคำที่พ่อพูดกรอกหูตลอด พ่อพูดมาตั้งแต่เด็ก ‘การศึกษาเท่านั้นที่เปลี่ยนชีวิตได้ๆ’ พูดย้ำๆ จนมันซึมเข้าไปในตัวเรา ทำให้เราไม่เคยทิ้งเรื่องเรียนไปซะทีเดียว ตอนนั้นถึงเรียนแต่โดดยับเลย เรียนครึ่งโดดครึ่ง ทำอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนช่วงจะเข้ามหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าต้องกลับมาโหมดเดิมล่ะ แต่ด้วยเราไม่ได้อยู่ในโหมดตั้งใจเรียนมานานมาก 4-5 ปี บทเรียนที่เขาสอนในห้องเรียนผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย อยู่มาได้เพราะบุญเก่าล้วนๆ พอเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เลยตั้งใจล่ะ แล้วก็กลับมาได้ ส่วนตัวผม ผมคิดว่าผมไม่ใช่คนหัวดีนะ แค่ไม่ชอบเป็นที่โหล่ ผมจะเป็นอะไรก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ที่โหล่ อันนี้ใช้กับทุกๆ เรื่องในชีวิตด้วยนะครับ ผมเป็นคนที่ถ้าตั้งใจก็จะทำได้แต่ต้องมีอะไรมากระตุ้นจิตใจหน่อย ตอนเราเรียนมัธยม เราไม่เห็นภาพ สุดท้ายความฝันอยากเป็นอะไรยังไม่รู้ ตอนนั้นยังไม่มีเป้าหมาย และยังไม่รู้เลยว่าเราจะต้องมีเป้าหมายไปทำไม อีกอย่างพ่อแม่ผมไม่ได้บังคับว่า ผมต้องเป็นอะไร พ่อผมเขาเป็นวิศวกร เขาก็อยากให้เราเรียนวิศวฯ แต่ว่าไม่ได้อยากให้เป็นวิศวกร เขาอยากให้เรามีความคิดเป็นระบบ มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจ แต่พอไปเรียนจริงๆ มันก็ใช่นะ มันทำให้เราคิดเป็นลำดับขั้นตอน 1 2 3 4 5 ทำให้เรามีตรรกะ ผมเรียนวิศวฯ จนปี 1 แล้วก็ออก เพราะผมเริ่มถ่ายละครแล้วด้วย รู้สึกว่าไม่ไหว แค่เรียนอย่างเดียวก็เหนื่อยมากถ้าไปทำอย่างอื่นด้วยก็ไม่ไหว จากนั้นผมมาเรียนที่คณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ ซึ่งเรียน 3 ปี จบ ผมซิ่งครับ ทำให้เท่ากับเราเรียนจบพร้อมเพื่อน”

สิ่งที่ได้จากวงการบันเทิง
          “อันดับแรกเลย เงิน สอง ชื่อเสียง สาม ความมั่นใจ และทัศนคติดีๆ บางคนอาจจะไม่เชื่อว่า ผมได้ทัศนคติดีๆ จากวงการบันเทิง เพราะได้เรียนรู้จากพวกผู้ใหญ่ในช่องเขาสอนเรา ตอนเด็กๆ เราอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คือ เป็นพวก independent มีแนวทางของตัวเอง เป็นคนปิดกั้น ไม่แคร์อะไรทั้งนั้นแต่พอเรามาทำงานตรงนี้ เราทำงานกับความรู้สึก เราใช้ความรู้สึกในการแสดง ถ้าเราไม่ใช้ความรู้สึกจริงๆ เราจะไม่มีวันเข้าถึงมันได้เลย ผมก็ต้องเรียนรู้กับมัน เรียนรู้เรื่องอารมณ์ เรียนรู้เรื่องอะไรต่างๆ เรียนรู้ร่างกายตัวเอง ที่มันเป็นเครื่องมือหาเงินของผม คือ ถ้าตำรวจมีปืน นักแสดงก็คือ ร่างกาย ตอนแรกๆ ก็ไม่เก็ทหรอก ว่าทำไมเราต้องเรียนรู้อะไรแบบนี้ อธิบายให้ใครฟังก็ไม่มีใครเข้าใจหรอก แต่ว่าพออยู่ตรงนี้เราต้องเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้ตลอดเวลานี่คือสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาสอนผม”

เรียนรู้ เป้าหมาย เดิมพัน
          “สำหรับผมสามคำนี้ คือ เรียนรู้ เป้าหมาย เดิมพัน ตอนแรกไม่เคยมีบัญญัติอยู่ในหัวผมเลยตั้งแต่เกิด เพิ่งมาได้รู้ตอนอายุ 20 - 21 เพิ่งมาเข้าใจมันจริงๆ เพราะพี่บอย (คุณถกลเกียรติ วีรวรรณ) พูดทุกวัน เจอหน้ากี่ทีก็พูดแบบนี้ คนเราต้องมีเป้าหมายนะ ต้องมี Goal ต้องเรียนรู้ ต้องเดิมพันกับมัน ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจนะ การที่ผมเริ่มตั้งเป้าหมาย จริงแล้วไม่ได้มาจากตัวเองหรอก แต่มันมาจากตัวละครในเรื่องที่เราต้องเล่น เช่นพระเอกละครเรื่องนี้อยากทวงคืนสมบัติที่โดนขโมยไป ฮาวทู ถึงเป้าหมายนั้น ต้องทำยังไง ต้องสู้คดี ต้องหาเงินมาสู้คดี ค่อยๆ ทำจนถึงเป้าหมาย พอเราทำในละครบ่อยๆ ก็มานั่งคิดได้ว่า ตัวเราเองก็ทำแบบนี้ได้นิ เราสามารถทำอะไรให้ถึงเป้าหมายได้เหมือนกัน ทำให้เข้าใจในสิ่งที่เขาสอนล่ะ

          “จากนั้นถ้าเรามีเป้าหมายแต่ไม่มีเดิมพัน ก็อาจไม่สำเร็จอยู่ดี เช่นไบร์ทอยากซื้อของขวัญให้แม่ ถ้าเราตั้งไว้แค่นี้มันก็ไม่เสร็จสักที เราก็จะเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำแล้วกัน ผลัดไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นไบร์ทจะซื้อของให้แม่ แล้วมีกำหนดเรื่องเวลาที่มันจำเป็นบางอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องว่าต้องทำตอนนี้เดี๋ยวจะไม่ทัน เราก็จะไปทันที ตอนนี้บัดนี้เลยก็ได้ นี่คือคำว่าเดิมพัน เป้าหมายเราถึงจะสำเร็จ ส่วนอีกคำ เรียนรู้ คือ พี่ป้อน (คุณนิพนธ์ ผิวเณร) เขาจะสอนผมเสมอว่า เราเป็นนักแสดงเราต้องเรียนรู้ทุกอย่าง เราต้องสังเกต ต้องซึมซับสิ่งต่างๆ จากผู้คน แรกๆ มันฝืนๆ มาก ทำไมต้องมานั่งนึกอะไรแบบนี้ แต่พอเราทำไปเรื่อยๆ เหมือนเราได้เก็บข้อมูล แล้วกลายเป็นทำให้เราได้วิเคราะห์คนได้มากขึ้น เราเริ่มอ่านคนขาดมากขึ้น “

สิ่งที่ท้าทายที่สุดในวงการบันเทิง
          “หากเป็นช่วงแรกๆ ที่เข้ามาสิ่งที่ท้าทายที่สุด คือ การแสดง การตอบสัมภาษณ์ การคุย การแสดงออกอะไรบางอย่างออกมา ตอนเด็กๆ เราจะเก็บ เราจะไม่พูดเลย พอเรามาอยู่ตรงนี้ ถ้าเราเก็บ เราก็จะจม จะไม่มีใครเห็น ที่เราเป็นแบบนั้นเพราะตอนเด็กๆ เราไม่ชอบให้ใครมาสนใจเรา แต่พอมาอยู่ตรงนี้ เราต้อง Inside Out มันต้องออกมา เมื่อก่อนเวลาโดนสัมภาษณ์จะตอบยากมาก แต่พอเวลาผ่านไปเราก็เริ่มคิดว่า นักข่าวต้องการอะไร อ๋อ เขาต้องการให้พูดยาวหน่อย เราก็เข้าใจ มีเนื้อมากขึ้นมีน้ำบ้างก็ได้ มันก็เข้าใจเลย แล้วก็ไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้อีกต่อไป รวมถึงเรื่องการแสดงด้วยที่เราก็ค่อยๆ เรียนรู้มา ผมคิดว่าคนเราไม่ควรที่จะหยุดเรียนรู้ เพราะในทุกๆ วันมันมีอะไรมาให้เราได้เจอใหม่ๆ อยู่เสมอ ในทุกด้าน ในทุกศาสตร์ทำให้เราไม่เบื่อ ไม่เหนื่อย”

BURNOUT
          “มีบ้างนะ แต่ไม่เคยไม่ไปนะ มีแค่ความรู้สึกเซ็งๆ บ้าง ซึ่งผมเซ็งแค่แป๊บเดียว ผมจะหงุดหงิดตอนตื่นเช้าแค่นั้นเอง แต่สุดท้ายก็ลุกไปอาบน้ำ สิ่งที่ทำให้เราลุกขึ้นจากที่นอน มันคือ ความรับผิดชอบ นี่คือความรู้สึกที่ไดร์ฟเราไป และพอไปถึงกองถ่าย ไปเจอทุกคนผมก็รู้สึกสนุกแล้ว เพราะมันคือที่ของเรา ผมมีความสุขทุกครั้งที่อยู่กองถ่าย ถึงแม้ใครจะมองว่า มันโคตรน่าเบื่อเลย ร้อนก็ร้อน รอก็นาน โน่นนั่นนี่ แต่ว่ามันคือ ที่ของเรา เรามองว่ามันคืออาชีพของเรา ตอนเด็กๆ เราอาจจะมองว่ามันคือโอกาส แต่ตอนนี้มันคืออาชีพ อีกอย่างตอนนี้ทำอะไรไม่เป็นแล้วครับ (หัวเราะ) ที่เรียนมาลืมหมดแล้ว เพราะฉะนั้นผมต้องมุ่งหน้ากับวงการบันเทิงนี่แหละ ต้องลุยไปให้สุดทางเลย”

ชีวิตขับเคลื่อนด้วยพลังอธรรม
          “ในการแสดงผมก็เอาความคิดที่ใช้ตอนเรียนมาใช้นะ คือผมไม่ต้องการเป็นที่โหล่ เพราะฉะนั้นผมต้องทำให้ได้ ผมเป็นคนขี้เอาชนะนะ (ยิ้ม) แต่ผมไม่ได้บอกให้ใครฟังเฉยๆ ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปนะว่าในหัวของผมจะมีคู่แข่งอยู่ตลอด ตามระดับที่เราอยู่ตอนนี้ อย่างในช่องมีเด็กใหม่ 20 คน และมีนายเอ เก่งว่ะ สักวันผมก็จะเก่งกว่านายเอ คือ เราจะแข่งกับเขาในหัวของเรา ผมจะคิดแบบนี้ ผมทำแบบนี้ตลอด มันทำให้เรามีไฟ ชีวิตผมขับเคลื่อนด้วยพลังอธรรมตลอดเลย (หัวเราะ) อย่างเวลาเจอพี่บอย พี่ป้อนด่าว่าไม่ตั้งใจ ผมก็จะโกรธมากเลยนะ ผมจะคิดอยูในใจว่า ผมเหนื่อยมากเลย ผมตั้งใจมากเลยพี่ไม่เห็นหรอ นี่คือผมจะพูดในใจนะไม่ได้พูดให้ใครฟัง และก็จะคิดต่อในใจว่าสักวันพี่ต้องให้ผมไปเล่นละครให้พี่โดยไม่ต้องไปออดิชั่นแล้ว ซึ่งมันก็คือเป้าหมายในใจของผม แล้วพอเราทำได้มันโคตรดีใจเลย ในชีวิตผมจะขับเคลื่อนด้วยอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) แต่มันก็แล้วแต่คนด้วย มันไม่มีอะไรถูกผิดหรอก”

เป็นคนชอบเอาชนะแต่ว่าแพ้เป็น
          “แม้ผมจะชอบเอาชนะ แต่ว่าผมแพ้ได้ ผมไม่ใช่ไม่เคยแพ้นะ อย่างเราเลเวล 1 เราข้ามไปแข่ง เลเวล 5 อย่างนี้ มันก็ยากนะที่จะชนะได้ ในชีวิตอาจจะแพ้สัก 100 ครั้งแต่ชนะครั้งเดียวก็พอแล้ว ก่อนจะชนะ เราก็แพ้ได้ ตราบได้ที่เรากดปุ่มเริ่มใหม่ได้เรื่อยๆ อย่างน้อยมันก็คือชีวิตเราถ้าเราชนะ เราก็เดินไปข้างหน้า ถ้าแพ้เราก็เรียนรู้ ย้อนไปสมัยก่อนมันจะมีคำพูดนึงที่คนชอบพูดว่า คนแพ้ก็จะได้เรียนรู้ ตอนนั้นผมฟังแล้วแบบคำพูดประดิษฐ์มากเลย แพ้คือแพ้ จะไปเรียนรู้อะไรแต่พอเราโต เราเจอแล้ว อย่างเราไปออดิชั่นละครถ้าได้เราก็ดีใจได้เล่นละคร แต่พอไม่ได้มันเฟล ก็จะมาคิดว่าเราพลาดอะไรไป นี่ไงเราได้เรียนรู้ล่ะ เราได้เติบโตแล้ว เพราะเรามาทบทวนตัวเองว่าเราพลาดตรงนี้ เขาติดตรงนี้ รอบหน้าเอาใหม่ ครั้งนี้เราได้เรียนรู้ เราได้เติบโต”

ประสบการณ์นอกห้องเรียน
          “การที่ผมมีความคิดแบบนี้ ไม่ใช่มาจากห้องเรียนหรอก ผมไม่ได้คลั่งไคล้กับห้องเรียนมากขนาดนั้น แต่ผมชอบไปสัมผัสกับประสบการณ์ข้างนอก ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน เราชอบฟัง เราชอบเก็บข้อมูล ตอนเข้าวงการใหม่ๆ ผมจะชอบไปกินเหล้ากับผู้ใหญ่มากเลย พวกผู้กำกับ หรือคนอายุ 40-50 ที่เพื่อนรุ่นเดียวกันคนอื่นเขาหาทางชิ่งไม่ไป แต่ว่าผมนั่งกับพวกพี่เขาจนจะเช้าได้เลยนะ ทั้งที่บางทีไม่ได้พูดอะไรเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยได้นั่งฟัง ได้รู้ไว้ก็ดี เราคิดแบบนี้คือเรารู้ไว้ก็ดี แต่เราทำตามเขามั้ยเป็นอีกเรื่องนึง เทียบกับอีกคนที่ไม่ได้ฟัง แต่เราได้รู้มันน่าจะดีกว่า คืออย่างน้อยเราก็เคยรู้ อนาคตอาจจะเอามาใช้ได้”

เรื่องที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเราที่อยากให้คนเข้าใจถูก
          “มีเรื่องติ๊งต๊องเรื่องนึง ทุกคนชอบบอกว่าผมง่วง ถึงแม้ผมจะตื่นแค่ไหนก็ตาม แม้ว่าข้างในผมจะมีพลังมากมาย ซึ่งผมอาจจะไม่ได้แสดงออก แต่ข้างในผมอยากถ่ายงานมากเลยวันนี้มีไฟ จะมีคนทักว่า วันนี้ดูง่วงๆ นะ (หัวเราะ) อย่างนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เป็นเรื่องใหญ่คือ เมื่อผู้ใหญ่ ที่เขามีพาวเวอร์มากๆ ไปบอกผู้จัดการผมว่า วันนี้ดูไบร์ทดูไม่มีเอเนอจี้เลยนะ ดูไม่สดชื่นเลย ทำงานเยอะหรอ อีเวนต์เยอะหรอ ไม่ทุ่มเทให้ละครหรอ คือ! ผมอยากจะบอกว่าไม่ใช่ ด้วยธรรมชาติของผมอาจจะไม่ใช่คนที่ชอบแสดงออกมากๆ แต่จริงแล้วข้างในผมเต็มมาก(ยิ้ม) อีกเรื่องผมเคยโดนตำหนิว่าไหว้ไม่ตั้งใจ นั่นทำให้ผมเข้ากูเกิ้ลไปดูเลยว่าการไหว้ที่ถูกต้องต้องทำยังไง แล้วผมก็ซ้อม แรกๆ มันแข็ง มันเกร็ง แต่สุดท้ายทำบ่อยๆ ทำได้ ทุกวันนี้ไม่มีใครติแล้วเรื่องไหว้ไม่สวย คือเราก็เรียนรู้ ปรับปรุง และพัฒนาตัวเองไปด้วย”

เรื่องที่ภูมิใจมากที่ตัวเองได้ทำแล้วอยากแชร์ให้คนอื่นรับรู้
          “ภูมิใจหรอ สิ่งที่ผมชอบทำในชีวิตตอนนี้หลังจากที่ผมไปเรียนรู้เรื่องเป้าหมาย เดิมพันมาแล้ว คือ การสอนทุกคนที่เขายังไม่เก็ทกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ น้องๆ หรือรุ่นพี่ บางคนที่หลงทางกับชีวิตอยู่ ผมสามารถให้เวลากับเขาครึ่งวันได้เลยนะ เพื่อคุยกับเขา ผมเคยมีโอกาสได้ถ่ายทอดเรื่องที่เราเคยได้เรียนรู้มาให้รุ่นน้องคนหนึ่งไป ว่าคนเราต้องเริ่มจากการวางเป้าหมายแล้วค่อยก้าวสเต็ปต่อไป ผมพูดจนเขาอิน แล้วทุกวันนี้เขาก็นำไปใช้ได้กับชีวิตของเขา จากนั้นเวลาเจอผม เขาก็จะมาคอยบอกอยู่เรื่อยๆ ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาทำไปถึงไหนแล้ว ซึ่งเราชอบ เราดีใจ ว่าสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา เราได้ถ่ายทอดให้คนอื่นแล้ว ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากให้ใครต้องมาเสียเวลาเหมือนผม ผมเสียเวลาในการเรียนรู้ไปสามปี เพราะไม่มีใครมาสอน ผมจึงอยากให้สิ่งเหล่านี้ที่เราได้เรียนรู้ไปเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นต่อไป พอเรารู้แล้วเราอยากให้คนอื่นมารู้เร็วๆ แบบไม่ต้องเสียเวลา ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวเราด้วย เรายิ่งอยากช่วยเขา มันเป็นการส่งต่อ ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกคุณครูเลยว่า การที่เห็นลูกศิษย์ได้ดีแล้วความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง” (ยิ้ม)

วิธีการก้าวผ่านปัญหา
          “ทุกคนต้องมีปัญหาอยู่แล้ว ปัญหาต้องมีตลอดแหละ มีเรื่อยๆ มีทุกวัน ผมเป็นโรคจิตอย่างหนึ่งคือผมชอบขอคำแนะนำคนอื่น แต่ผมจะทำมั้ยมันอีกเรื่อง (หัวเราะ) ผมชอบฟัง เอามาเป็นตัวเลือก เผื่อมันดีกว่าสิ่งที่เราคิดเราจะได้ทำ เวลาเจอปัญหาผมก็จะคิด คิดก่อนเลย คิดว่าจะแก้ยังไง ถ้าคิดเสร็จแล้วมันลงตัวก็จบ แต่ถ้าคิดแล้วคิดอีกยังไงก็คิดไม่ออก ไม่รู้จะแก้ยังไง ถ้าคิดมาสักพักแล้ว ผมก็จะพักไว้ก่อน แล้วก็จะคิดว่า “เดี๋ยวผมในตอนนั้นก็คงจะแก้ได้เองแหละ คิดว่าเดี๋ยวไบร์ทในอนาคตก็จะจัดการได้แหละ” ผมคิดอย่างนี้ตลอดเลย (หัวเราะ) มันก็ทำได้นะ อาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่สุดท้ายเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ทำเท่าที่ทำได้ เท่าที่เราเต็มที่แค่ไหนก็แค่นั้น”

ชอบแฉตัวเอง
          “ทำอะไรผิดมา ผมแฉตัวเองก่อนเลย ไม่ต้องมาขุด (หัวเราะ) เปิดให้หมดเลย พอรู้หมดแล้วก็ไม่มีอะไรน่าค้นหาอีก ผมรู้สึกว่าถ้าโกหกแล้วโดนจับได้ มันน่าอายมาก รู้สึกอายมากไม่ชอบแบนนั้น ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นที่โหล่ เพราะเราชอบจับผิด ชอบจี้ชาวบ้านมาก แต่เราไม่อยากโดนจี้ เพราะฉะนั้นเรามีอะไรมา เราเปิดก่อนเลย จบ เปิดหมดเลยผมเลือกที่จะเล่าจะบอกทุกอย่าง”

สำหรับตัวเองจุดไหนที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ
          “ผมว่ามันมีหลายสเต็ป อย่างตอนนี้ถามว่าสำเร็จมั้ยก็สำเร็จแล้วล่ะแต่ว่าเลเวลหนึ่ง ถามว่ายังมีอีกมั้ย อีกเยอะเลย เยอะมากๆ เลย ตอนนี้ผมอาจจะหาเงินได้สิบล้านบอกว่าสำเร็จ แต่ผมก็ไม่พอหรอก ผมเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมากๆ พอเราเรียนรู้การมีเป้าหมายผมก็เริ่มมีความสุขกับการมีเป้าหมาย ผมชอบจะโตขึ้นไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าผมคงไม่หยุด ตอนผม 60 ผมคงไม่ได้นั่งอยู่กับบ้านดูทีวี ผมคงไม่ใช่แบบนั้น ผมคงออกไปทำงาน เพราะถ้าอยู่เฉยๆ ผมคงเบื่อ”

ชีวิตในวัย 60
          “ถ้าไบร์ทอายุ 60 อันนี้ไม่ได้พูดสวยหรูนะ แต่เป็นสิ่งที่ผมอยากทำจริงๆ คือ ถ้าผมสำเร็จมากๆ ผมคงทำเพื่อสังคม ทำเพื่อคนอื่น อยากไปทำแคมเปญ ช่วยเหลือคนที่ลำบาก อยากไปช่วยเด็กๆ ให้น้องๆ เขาได้ไปลองเรียนรู้ ไปทดลองว่าตัวเองชอบอะไร อย่างผมตอนเด็กผมไม่รู้เลยว่าผมอยากเป็นอะไร เพราะไม่เคยมีโอกาสได้เจอได้ทดลอง ผมเลยอยากสร้างโอกาสให้น้องๆ ได้มีความรู้ได้ไปสัมผัสกับสิ่งที่เขาอยากจะเป็น เพื่อให้เขาได้มีช้อยส์ตัวเลือกในหัวว่า โตขึ้นเขาอยากเป็นอะไร”

Quote of Bright’s Life
          “เดี๋ยวไบร์ทในวันหน้าก็จัดการได้เองแหละ” (หัวเราะ)

กลุ่มคนสำคัญในชีวิต
          “ผมโชคดีที่แฟนคลับผมค่อนข้างดีเลย เขาจริงใจกับผม ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ว่าผมจะมีกฎของผมนะ คือ งอนไม่ง้อ (หัวเราะ) ทุกคนเขาให้ใจกับผมเยอะ เราก็ให้ใจกับเขาเหมือนกัน เวลาไปทำงานเสร็จแล้วเราจะกลับบ้านเลยก็ได้ แต่ผมจะแวะทักทายเขา ผมไม่ได้มองว่ามันคือหน้าที่นะ เพราะผมมีความสุขที่จะทำ ผมรู้สึกว่าเขามารอเรา เขาเหนื่อยกว่าเราด้วยซ้ำ เราก็ขอบคุณเขาด้วยการได้พูดคุยกับเขาได้เล่นกับเขา ที่สำคัญสิ่งที่เราทำเราไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย หากแต่กลับทำให้อีกฝ่ายดีใจ อย่างนี้มีหรอที่เราจะไม่ทำ มันไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาสำหรับเรา แต่ว่าทำให้พวกเขาแฮปปี้มาก เราก็ทำ อย่างผมเดินไปบอกว่า “สู้ๆ นะ” ผมไม่เหนื่อยเลยนะทำแค่นี้จะทำอีกพันรอบก็ได้ ซึ่งการที่เราให้กำลังใจพวกเขาแค่นี้ มันสามารถไปฮีลใจเขาได้ ผมก็จะทำต่อไปครับ”

 

นายแบบ : คุณนรภัทร วิไลพันธุ์
ช่างภาพ : คุณภูมิเกียรติ หงษ์มงคลวัฒนา
ช่างแต่งหน้าและช่างทำผม : คุณธานัท ทองผักแว่น
เสื้อผ้าและเครื่องประดับ : Zegna, Karl Lagerfeld, Issue, Vvon Sugunnasil และแว่นตา Prada by Luxottica

Photo By : Pumkiat
Author By : Arunlak

SHARE