ท่ามกลางโลกที่หมุนเร็วและบทบาทอันหลากหลายของชีวิต ‘บ้าน’ ยังคงเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและอบอุ่นที่สุด ที่ซึ่งทุกคนสามารถกลับมาเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง
สำหรับ คุณคริส จาติกรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอร์ติน่า วอทช์ (ประเทศไทย) และ คุณเกศริน (น้ำผึ้ง) จาติกรัตน์ ภรรยาผู้เปี่ยมด้วยพลังบวกและบทบาทคุณแม่ที่ยังคงเปล่งประกาย บ้านของพวกเขาคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยบทสนทนา เสียงหัวเราะ การเรียนรู้ และความรักที่ไม่มีเงื่อนไข
“ได้ยินเขาพูดอยู่เสมอว่ารักมากขึ้นกว่าเดิม และเราก็แทบไม่ทะเลาะกันเลยค่ะ คุยกันรู้เรื่อง ช่วงแรกๆ อาจจะมีบ้างตามปกติ แต่พออยู่กันนานขึ้น มีลูกด้วยกัน ก็ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น อยู่ด้วยความเข้าใจค่ะ” คุณน้ำผึ้งเล่าด้วยรอยยิ้ม
“ผมโชคดีมากที่มีภรรยาแบบเขา กลับบ้านมาเหนื่อยแค่ไหน เจอคนที่ซัพพอร์ตเราก็หายเหนื่อยเลย ภรรยาเป็นคนที่ดูแลทุกอย่างได้ดีมาก ถ้าไม่มีเขา ผมคงเหนื่อยมากกว่านี้แน่ๆ” คุณคริสเสริมด้วยน้ำเสียงจริงใจ
เมื่อถามถึงบรรยากาศในบ้านปัจจุบัน คุณน้ำผึ้งเล่าถึงลูกทั้งสองด้วยความปลื้มใจ
“ลูกสาวคนโตชื่อน้องแคลร์ (ด.ญ.ครินดา จาติกรัตน์) อายุ 13 ปี ส่วนลูกชายคนเล็กคือน้องครูซ (ด.ช.พศทรรศน์ จาติกรัตน์) อายุ 11 ปีค่ะ ทั้งสองคนตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้เป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ดื้อไม่ซนเลยค่ะ จิตใจดี มีมารยาท ไปที่ไหนก็มีแต่คนชม แล้วก็เป็นพี่น้องที่แทบไม่ทะเลาะกันเลย เรียกว่าน่ารักทั้งคู่ค่ะ”
“สำหรับผม การมีลูกคือสิ่งที่เติมเต็มชีวิต เมื่อก่อนอยู่กันสองคนก็สบายแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้มีลูก มันเป็นอีกความรู้สึกเลยครับ บางวันลูกไม่อยู่ บ้านเงียบมาก คิดถึงเขาทุกที” (ยิ้ม)
แม้จะเป็นผู้บริหารระดับสูงที่มีภารกิจล้นมือ แต่ทั้งคุณคริสและคุณน้ำผึ้งต่างให้ความสำคัญกับบทบาทของพ่อแม่โดยเฉพาะแนวทางการเลี้ยงดูลูกที่เน้นเหตุผล ความเข้าใจ และการให้พื้นที่กับลูกได้เติบโตในแบบของตนเอง
“ผมจะเล่าให้ลูกฟังเสมอว่า ทุกการตัดสินใจของพ่อมีเหตุผล และผมก็อยากรู้เหตุผลของเขาเวลาตัดสินใจอะไรเช่นกัน เพราะวันหนึ่งที่เราไม่อยู่แล้ว ถ้าพื้นฐานความคิดของเขาแข็งแรง เขาก็จะตัดสินใจได้ดีในทุกเรื่อง”
“เราโชคดีค่ะที่ครอบครัวคุณคริสเป็นครอบครัวหัวสมัยใหม่ ทุกคนเน้นให้เด็กมีความสุข ไม่บังคับเขาเลย ถ้าลูกชอบอะไรก็สนับสนุนเต็มที่ ผึ้งฟังแล้วรู้สึกสบายใจเพราะเห็นตรงกันเลย เราอยากให้ลูกได้ทำในสิ่งที่รัก ได้เติบโตในแบบของตัวเอง”
“เราสายซัพพอร์ตครับ อยากทำอะไรก็ไปทางนั้นเลย เราเชื่อว่าเด็กจะทำได้ดีในสิ่งที่เขารักครับ”
“ผึ้งคิดว่าแค่เขามีความสุขกับชีวิต ก็เพียงพอแล้ว ถ้าเขาชอบอะไร เขาจะตั้งใจทำได้ดีมากโดยไม่ต้องบังคับเลยค่ะ”
เมื่อถามถึง ‘กฎเหล็ก’ ของบ้านนี้ ทั้งคู่ตอบอย่างตรงไปตรงมาแต่แฝงด้วยความห่วงใย
“ห้ามค้างคืนบ้านเพื่อนครับ จริงๆ ตั้งกฎข้อนี้ไว้เพราะห่วงลูกสาวครับ แต่ลูกชายเลยโดนไปด้วย” (หัวเราะ)
“ใช่ค่ะ แต่เพื่อนๆ ของลูกมาบ้านเราได้เสมอ เราเลี้ยงต้อนรับเต็มที่ เพราะอยากรู้จักเพื่อนของลูกว่าเป็นคนแบบไหน เวลามาเจอกันจะได้ดูแลกันได้”
“อีกข้อคือห้ามโกหก มีอะไรก็ให้พูดกันตรงๆ จะได้เข้าใจกัน” คุณคริสเสริมอีกข้อที่ให้ความสำคัญ
แม้งานจะยุ่งแค่ไหน แต่คุณคริสก็พยายามจัดสรรเวลาให้กับครอบครัว
“ต้องขอบคุณภรรยาที่อยู่กับลูกมากกว่าผม เวลาผมว่างก็จะพยายามใช้เวลากับเขา พาไปเดินเล่น ไปซื้อของ เป็นห่วงห่างๆ คอยซัพพอร์ตในแบบของผมครับ”
ขณะที่คุณน้ำผึ้งก็เน้นกิจกรรมประจำวันธรรมดาๆ ที่กลายเป็นช่วงเวลาสำคัญของครอบครัว เช่น มื้อเย็นและวันอาทิตย์ที่เป็น ‘แฟมิลี่ไทม์’
“มื้อเย็นค่ะ กินด้วยกันเกือบทุกคืน และที่ขาดไม่ได้คือทุกเย็นวันอาทิตย์จะเป็นแฟมิลี่ไทม์ รวมญาติไปกินข้าวพร้อมหน้าทุกคนค่ะ”
“ครอบครัวผมเล็ก มีแค่พี่สาวหนึ่งคน ซึ่งแยกครอบครัวไปแล้ว ผมเลยพยายามพาลูกและคุณน้ำผึ้งไปหาคุณพ่อคุณแม่ให้บ่อยขึ้น เพราะท่านก็อายุมากขึ้นแล้ว”
“เด็กๆ ก็ใกล้ชิดกับคุณปู่คุณย่ามากค่ะ บางทีแอบกระซิบอะไรกับอากงอาม่าก่อนเราซะอีก” (หัวเราะ)
“ใช่ครับ ตอนผมเป็นลูกไม่เคยได้แบบนี้เลย ตอนเด็กแอบกินลูกอมยังโดนจับได้เพราะลิ้นแดง” (หัวเราะ)
ในบทบาทคุณแม่ของลูกสอง คุณน้ำผึ้งยังดูแลตัวเองได้ดีเสมอ
“จริงๆ เหมือนมีลูกสามคนค่ะ คนโตสุด (สามี) ดูแลยากสุด” (หัวเราะ)
“ผึ้งจะพยายามใช้เวลากับลูกเยอะ โดยเฉพาะวัยนี้ที่ยังอยากอยู่กับแม่ เช่น พาไปตีแบด เล่นโยคะ หรือไปเชียร์กิจกรรมลูกชาย เท่ากับได้ออกกำลังกาย ดูแลตัวเองไปด้วยค่ะ”
เมื่อลูกสาวเข้าสู่วัยรุ่น ทั้งสองคนต่างก็ต้องปรับวิธีการรับมือ
“ต้องใจเย็นมาก ต้องอดทนในใจ แล้วก็พยายามเป็นเพื่อนกับเขาให้มากที่สุด โดยไม่ไปก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัว”
“ผมอยากรู้ทุกอย่าง แต่บางทีก็รับไม่ได้ (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้แค่ดู iPad ยังไม่รู้เลยว่าเขาเสพเนื้อหาอะไรบ้าง ผมเลยตั้งค่าดูเวลาการใช้งานไว้ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาใช้เวลากับอะไร”
บทบาทในบ้านแบ่งกันตามธรรมชาติ
“ผึ้งเขาเป็นสายขี้บ่นครับ เพราะเขาห่วงลูก ผมเองไม่ค่อยพูดอะไรมาก กลับบ้านมาก็เล่นกับลูกเลย”
“ลูกบอกว่าผึ้งไม่ดุนะคะ แต่ขี้บ่นจู้จี้ (หัวเราะ) จริงๆ เราไม่ใช้การลงโทษด้วยการตี แต่บางทีก็แอบคิดนะคะ (หัวเราะ) ที่บ้านจะใช้เหตุผลเป็นหลัก ถ้าต้องลงโทษก็เช่น งดเล่นมือถือ แต่ส่วนใหญ่เราพูดคุยกันด้วยเหตุผลค่ะ”
“ผมว่าเราต้องเข้าใจว่าเด็กกำลังคิดอะไรอยู่ ช่วยเขาแก้ปัญหาให้ได้ การตีไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่เราที่เจ็บใจเอง”
ถึงจะมีลูกชายและลูกสาว แต่ทั้งสองคนพยายามเลี้ยงดูอย่างเท่าเทียม
“จริงๆ พยายามเลี้ยงเหมือนกัน เพราะอายุห่างกันแค่สองปีเขาเหมือนเป็นเพื่อนกัน แค่คนละเพศเท่านั้นเอง เราอยากให้เขาโตไปเป็นพี่น้องที่ช่วยเหลือกันได้ ไม่รู้สึกว่าใครถูกเลือกปฏิบัติค่ะ”
“โตขึ้นเดี๋ยวคงช่วยกันหลอกพ่อแม่ออกไปเที่ยวแน่เลย” (หัวเราะ)
“ใช่ค่ะ ดูแล้วคู่นี้น่าจะดีลกันเก่ง” (หัวเราะ)
สิ่งที่อยากปลูกฝังให้ลูกทั้งสองมากที่สุดคือ
“ผมอยากให้เขาโตมาเป็นคนดี ไม่ต้องรวย ไม่ต้องมีอะไรพิเศษ แค่เป็นคนดี อยู่ในสังคมได้ก็พอ”
“ผึ้งอยากให้เขามีความรับผิดชอบ ทั้งต่อตัวเอง สังคม และครอบครัว และขอให้เขามีความสุขในสิ่งที่เลือกทำค่ะ”
“เราคุยกับลูกก่อนว่าเขาอยากไปทางไหน แล้วเราถึงจะวางแผนซัพพอร์ตให้ ไม่ใช่กำหนดให้เขาไปในเส้นทางที่ไม่ใช่ตัวเขา”
“ไม่จำเป็นต้องมาทำธุรกิจต่อครับ ถ้าเขาชอบก็ทำ ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ผมอยากให้เขาตื่นมาทุกวันแล้วได้ทำในสิ่งที่รัก หาเงินเยอะไม่ได้แปลว่าจะมีความสุข ถ้าเขามีความสุขในสิ่งที่เลือก ผมว่าก็พอแล้วครับ”
เมื่อถามถึงสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคำว่า ‘ครอบครัว’
“พ่อแม่ต้องคุยกันรู้เรื่องก่อน ถ้ารักกันจริง ทุกอย่างจะลงตัวถ้าพ่อแม่ทะเลาะกัน ลูกก็ไม่มีความสุข”
และแน่นอนว่า คำถามยอดฮิตของคุณพ่อเมื่อลูกสาวเริ่มโต…
“ห่วงครับ โดยเฉพาะลูกสาว ห่วงมากกว่าลูกชาย เพราะเป็นผู้หญิง ลูกชายก็ปล่อยๆ ตามสไตล์ผู้ชาย ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดนะครับ” (หัวเราะ)
สามคำที่นิยามครอบครัวตอนนี้คือ
“อบอุ่น เฮฮา สบายๆ”
“จริงๆ เราอาจคิดว่าเด็กไม่มีอะไรเครียด แต่เขาก็มีเรื่องของเขาเหมือนกัน เราเลยพยายามสร้างบรรยากาศที่สบายๆ และคอยซัพพอร์ตเขาให้ดีที่สุดครับ”
ครอบครัวของคุณคริสและคุณน้ำผึ้งจึงไม่ใช่แค่บ้านที่มีเสียงหัวเราะ แต่คือพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกคนได้เติบโตในแบบของตัวเองอย่างมีความสุข ด้วยความเข้าใจ การรับฟัง และความรักที่สม่ำเสมออย่างแท้จริง...
Photo By : PumkiatAuthor By : Arunlak