counters
hisoparty

Family is not an important thing, it’s everything เพราะรากฐานที่มั่นคงในชีวิตก่อกำเนิดมาจาก ‘ครอบครัว’

8 days ago

ต้นไม้ใช้รากในการยึดฐานให้มั่นคง ชีวิตมนุษย์ยึดโยงให้แข็งแรงด้วยความรักจากครอบครัว ‘สถาบันที่เล็กที่สุด แต่มีความสำคัญมากที่สุด’

          ในฐานะ ‘ลูกสาวคนโต’ จากบรรดาลูกสามคนของครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนที่ประสบความสำเร็จจากการประกอบธุรกิจ บริษัท นาโน อิเลคทริค โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายสินค้าประเภทพลาสติก อุปกรณ์ระบบไฟฟ้า และแสงสว่างมากว่า 30 ปี หล่อหลอมให้การดำเนินชีวิตของ ‘คุณเบญ - ดร. กัลยานี บุญญลักษม์ (กมลวิศิษฎ์)’ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง ภายใต้การซึมซับจากวิธีปลูกฝังที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติตามรูปแบบของครอบครัวนักธุรกิจ ทว่าในอีกมุมหนึ่งเธอกลับสร้างแรงผลักดันให้ตัวเอง ด้วยการนำประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ มาผนวกเข้ากับวิธีคิดที่เธอได้รับมาจากการศึกษาจนถึงระดับปริญญาเอก ซึ่งเธอมองว่าสองสิ่งนี้มีความสำคัญต่อการเป็นผู้นำอย่างยิ่ง

          “สำหรับครอบครัวของเบญเป็นครอบครัวคนทำงาน ทุกคนต้องทำงาน ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงน้องๆ ทั้งสองคน ครอบครัวเราจะมีการพูดคุยกันเป็นประจำ บทสนทนาระหว่างทานข้าวจะเป็นการพูดคุยในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเบญที่เป็นลูกสาวคนโตก็จะได้รับฟังเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่คุยกันมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เบญซึมซับการแก้ไขปัญหาต่างๆ มาตลอด ส่วนตัวเบญเลยมองว่าการเป็นผู้นำต้อง Born to be มันไม่ใช่อยากจะเป็น ต้องพยายาม หรืออยากจะทำให้เป็นไปได้ เพราะตำแหน่งของผู้นำเป็นเรื่องการตัดสินใจทั้งสิ้น ต้องมีไหวพริบ ประสบการณ์ ที่ต้องมาควบคู่กับการศึกษา เบญจึงมองว่าการศึกษาและประสบการณ์เป็นเรื่องสำคัญ ทุกอย่างไม่ได้สำเร็จรูปเหมือนแค่ถือหนังสือ CEO มาหนึ่งเล่ม แต่การประสบความสำเร็จของคนเป็นผู้นำ คนในองค์กรต้องยอมรับ คนที่บ้านต้องยอมรับ มันถึงจะได้มาซึ่งคำนี้ค่ะ”

          ปัจจุบันคุณเบญ - ดร. กัลยานี บุญญลักษม์’ (กมลวิศิษฎ์) ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาพิเศษให้กับคุณจอห์นนี่ (สามี) ในการทำธุรกิจ นอกเหนือเวลางานคุณเบญ ยังรับบทบาทในการเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิตเป็นงานอดิเรก ด้านการศึกษาคุณเบญสำเร็จปริญญาตรี สาขา International Business ภาคภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยรังสิต ปริญญาโท สาขา Hospitality Management จาก Glion Institute of Higher Education และ ปริญญาเอก สาขา Tourism จาก มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

          “หลักๆ ขอบเขตการทำงานในหน้าที่ของเบญค่อนข้างกว้างมาก มีรายละเอียดหลายมุมหลายจุด เบญไม่สามารถมองผ่านมองข้ามได้เลยแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ บวกกับหน้าที่ความรับผิดชอบเหมือนต้องสวมหมวกสองใบ เวลาเบญทำงานจึงต้องมองจากทั้งสองมุม คิดตลอดว่าถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจจะต้องทำอย่างไร ในขณะเดียวกัน ถ้าเป็นลูกจ้างจะต้องทำอย่างไร เบญคิดว่าถ้าเรามองแค่ One Way เบญจะมาถึงวันนี้ไม่ได้”

          เมื่อถามถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณเบญประสบความสำเร็จ เธอตอบทันทีว่า “ทุกอย่างเริ่มมาจากความรักค่ะ” พร้อมขยายความให้เข้าใจว่า “ความรักของครอบครัว ความรักที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่ ความรักที่มีต่อพี่น้อง เมื่อมีความรักให้กับคนในครอบครัวอย่างแท้จริง เบญเลยอยากทำให้พวกเขาเห็นว่า เราสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง เบญจึงมีความมุ่งมั่นมากๆ ที่จะทำให้ทุกคนเชื่อใจว่า หากวันข้างหน้ามีอะไรเกิดขึ้น เราจะสามารถเดินต่อไปได้ ส่วนตัวเบญมีความคิดว่าเวลาที่อยู่ตรงหน้า ไม่สามารถจำกัดความได้เลยว่าเราจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ เบญเลยไม่มีเวลารอว่า เมื่อไหร่ที่เราจะมีวันนั้น แต่ตอนนี้มันมีแค่วันนี้ เหมือนการนำหลักธรรมเข้ามาใช้ เบญก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า พรุ่งนี้เบญจะต้องสบายกว่าวันนี้ หรือวันต่อๆ ไปเบญจะทุกข์ใจมากแค่ไหน เบญไม่สามารถไปยึดติดตรงนี้ได้ ทั้งอนาคตและปัจจุบัน เบญมองว่าถ้าเรามองอย่างเป็นกลาง ใช้ชีวิตอย่างเป็นกลาง วันนี้ทำดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำดีที่สุดแล้ว เบญก็มั่นใจว่าเราสามารถไปต่อได้ เพราะฉะนั้นเราต้องมุ่งมั่นตั้งแต่วันนี้ส่วนพรุ่งนี้เป็นยังไงก็ต้องเป็น ต้องอยู่กับปัจจุบัน ทุกอย่างตั้งอยู่แล้วก็ดับไปเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ชีวิตที่ยังกำหนดจิตได้อยู่ ต้องทำด้วยตัวเองวันนี้”

          “เมื่อนำธรรมะเข้ามาใช้ร่วมกับการบริหารงาน ทำให้มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น ทำให้เบญเติบโต มีศักยภาพในการทำงานมากขึ้น เพราะว่าถ้าทำงานแบบยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียว มองการทำงานแค่มุมมองเดียว เบญมองว่าทัศนคติแบบนี้ไม่ว่าอยู่ตำแหน่งไหนก็ตาม ก็อาจจะไปต่อได้ยาก โดยเฉพาะการทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ที่เบญทำอยู่ ต้องบริหารคนจำนวนมากนับพันคน เบญไม่สามารถที่จะทำให้คนอื่นชอบเบญได้ในเส้นทางของเรา แค่วันนี้เราต้องทำให้ดีที่สุดในแบบของเรา พยายามทำทุกอย่างให้เต็มที่ ต้องทำให้เห็นว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด สิ่งเหล่านี้เบญได้รับการปลูกฝังจากคุณพ่อคุณแม่มาตลอด ถ้าจะสอบผ่านต้องตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ แต่พอโตขึ้นคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้สอนเราตรงๆ เวลาที่พวกท่านกำลังมองมาที่เรา ท่านสอนเราด้วยความเงียบ ยิ่งเงียบเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เราต้องชนะ ต้องรีบประสบความสำเร็จ เพื่อให้ท่านได้ภาคภูมิใจที่เราสามารถเดินทางมาถึงจุดนี้ด้วยตัวเอง”

          “ชีวิตคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อพรูฟตัวเองในทุกๆ ด้าน แต่วันนี้ที่เรียกว่าประสบความสำเร็จได้เพราะอะไร ยกตัวอย่างเช่น เบญเรียนจบปริญญาโทจาก Glion Institute of Higher Education ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โรงเรียนที่เป็นท็อปหนึ่งในสามของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เบญว่ามันก็ที่สุดแล้วนะ แต่พอจบกลับมาคุณพ่อบอกว่าอยากให้เบญเรียนต่อปริญญาเอก เบญก็ไปต่อปริญญาเอกในด้านการท่องเที่ยว เพื่อจะต่อยอดจากสาขาการโรงแรมมาเป็นการท่องเที่ยวได้ในอนาคต เพราะปริญญาตรีเบญจบอินเตอร์ธุรกิจระหว่างประเทศ ทุกอย่างสอดคล้องกันหมด แต่สุดท้ายพอได้เข้ามาสู่การทำงานจริง ไม่ว่าเรียนจบอะไร สาขาไหน ทุกอย่างต้องมีประสบการณ์เข้ามาร่วมด้วย เราต้องทำงานควบคู่ไปกับคนรุ่นเก่า ต้องอาศัยประสบการณ์ของเขา ทำยังไง อยู่ยังไง วิธีนี้ที่เราทำถูกต้องไหม ฉะนั้นทุกคนในองค์กรจึงมีความสำคัญกับเรา เหมือนกับคนในครอบครัว เราไม่สามารถทิ้งใครไว้ข้างหลังได้สักคน ทุกคนต้องไปพร้อมๆ กัน”

การทำงานกับเรื่องราวของ Generation Gap
         “เรื่องของเจเนอเรชันแกป เบญว่าทุกที่ต้องพบเจอกับเรื่องนี้ กับคุณพ่อคุณแม่เองก็มี ท่านอาจจะมองในมุมอีกมุมหนึ่ง เราเองก็มีอีกมุมมองหนึ่ง แต่ประเด็นคือเราสามารถมาบรรจบกันได้ในจุดกึ่งกลางด้วยการเจรจา เราต้องคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวว่า Topic นี้ เบญทำแบบนี้ ทุกคนคิดว่ายังไง ทำได้มากน้อยแค่ไหน เพาเวอร์ของเบญทำได้แค่ไหน ถ้าเขาบอกว่าทำได้ ไม่มีปัญหา เราก็เดินหน้าต่อไป แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เบญก็เลือกที่จะไม่ทำ ไม่สร้างความร้าวฉาน ไม่สร้างปัญหา และไม่สร้างความไม่สบายใจ เพื่อให้งานสามารถไปต่อได้อย่างราบรื่น เพราะการที่เรามาอยู่ตรงจุดนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถชี้นิ้วสั่ง Yes หรือ No เบญยังมองว่าการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องสำคัญในที่ทำงานค่ะ”

นิยามความสำเร็จในแบบของคุณเบญ
          “สำหรับเบญแค่คุณพ่อคุณแม่แฮปปี้ สามีแฮปปี้ ลูกแฮปปี้ คือประสบความสำเร็จแล้ว เบญมองว่าเราอาจจะไม่ต้องเก่งมาก ไม่ต้องรวยมาก แต่ยังมีคนรักอยู่ข้างๆ มีคุณพ่อคุณแม่ที่คอยเข้าใจ เหล่านี้เรียกว่าการประสบความสำเร็จสำหรับเบญแล้วค่ะ การที่คนในครอบครัวเข้าใจในแบบที่เราเป็น เพราะคนเราอยู่ได้ด้วยความหวัง ความหวังทำให้เรามีความสุข เหมือนตอนเป็นเด็ก เราคาดหวังว่าเมื่อไหร่จะเรียนจบ พอเรียนไปเรื่อยๆ เราก็คาดหวังว่าเมื่อไหร่จะได้ A ความหวังเป็นแพสชันที่เราอยากจะทำทุกอย่างต่อไปในทุกๆ วัน เหมือนทุกวันนี้เราหวังว่า ถ้าลูกๆ ต้องไปเรียนต่อจะเรียนโรงเรียนอะไร เป็นความหวังของพ่อแม่ ถ้าเขาได้ก้าวเข้าไปเรียนในโรงเรียนที่ดี เราก็มองออกแล้วว่าอนาคตเขาจะไปในทิศทางไหน เราก็สามารถปล่อยเขาได้ เปรียบเทียบกับเบญในตอนนี้ที่ทำงานในตำแหน่ง CEO ที่ค่อนข้างจะใหญ่ แต่ด้วยอายุค่อนข้างน้อย การสร้างความเชื่อมั่น มีอย่างเดียวที่ทำได้คือ เราต้องมีรีเสิร์ช ต้องมี Education Support ควบคู่ไปกับประสบการณ์ของคนรุ่นเก่า หากเบญมองเกมแบบนี้ พี่มองแบบไหน มันต้องพูดคุยเจรจากันไป ถ้าเรามัวแต่มีอคติมองว่าตัวเองเก่ง มันก็ไม่น่าจะไปรอด ถ้าวางอีโก้ลง เบญมองว่าเราสามารถปรับปรุงและพัฒนาตัวเองได้อีกมาก”

เป้าหมายต่อไปของชีวิต
          “ถ้าจะพูดแบบติดตลก เบญไม่ได้คาดหวังอะไรแล้วค่ะ ในชีวิตเบญมีครบทุกอย่าง สิ่งที่อยากได้ เบญได้มาแล้ว ได้มาในตอนที่ยังเด็ก เบญเลยรู้สึกอิ่มตัวเร็ว แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ทั่วไป เบญก็ค่อนข้างจะมีครบ ไม่ว่าจะเป็น รถ กระเป๋า เงินทอง แต่โชคดีเหนือสิ่งอื่นใดคือ คุณพ่อคุณแม่ยังอยู่กับเบญ ตรงนี้อาจจะเป็นเป้าหมายของเบญคือ เบญอยากให้ท่านอยู่กับเราไปนานๆ ได้ดูแลท่านในการเลือกกิน เลือกใช้ อยู่กันได้ระยะยาว ส่วนเรื่องจิตใจเรื่องไหนที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ เราก็เลือกที่จะพูดน้อยลง หรืออาจจะไม่พูดเลย เพราะถ้าเป็นตัวตนเบญจริงๆ เบญจะตรงแบบไม้กระดาน ไม่มีตรงกลาง ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่เบญมีโอกาสได้ไปเรียนต่างประเทศ สมัยก่อนเวลาคุณครูถาม เบญมักจะชอบพูดคำว่า May be หรือ Depend ซึ่งครูจะขอร้องว่าไม่ให้พูดโดยใช้คำเหล่านี้ได้ไหม ให้มีแค่ Yes กับ No เบญก็เลยติดจากตรงนั้นมา เวลาไม่ชอบอะไรก็เลือกจะไม่พูดไปเลย จะได้ไม่ต้องโกหก แต่ในความเป็นจริงผู้ใหญ่ก็อาจจะอยากฟังคำที่สวยงามจากเรา สมมติถ้าคุณแม่ถามเบญว่า วันนี้เสื้อสวยไหม จริงๆ มันอาจจะไม่ใช่สไตล์เราเลย เมื่อก่อนเบญจะพูดว่าไม่ แต่เดี๋ยวนี้เบญจะยิ้ม ไม่ได้พูดนะ ไม่ได้ผิดศีล 5 เป็นเรื่องที่เบญต้องค่อยๆ ปรับ เบญคิดว่าเป็นบทเรียนชีวิตในแต่ละวัน อย่างที่บอกว่าแต่ละ Chapter แต่ละ Journal ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามช่วงอายุ ช่วงอายุนี้ทุกข์ในเรื่องที่ไม่ควรทุกข์ อาจจะเป็นเรื่องที่เราคาดหวังกับลูกมากเกินไป อยากให้ลูกนอนคนเดียวได้เร็วกว่านี้ คาดหวังกับคุณพ่อคุณแม่ให้ทานของหวานน้อยลง แต่ท่านก็ยังคงทานต่อไปเรื่อยๆ หรือ คาดหวังในการได้เจอกับพี่น้องเหมือนที่เคยเป็น แต่เราลืมไปว่าปัจจุบันแต่ละคนก็มีครอบครัว เราเองก็มีครอบครัว พี่น้องก็มีครอบครัว การเจอกันก็ย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา”
          ถึงแม้คุณเบญจะรักการทำงานเป็นชีวิตจิตใจ ทว่าในบทบาทการเป็นคุณแม่ของลูกๆ ทั้งสี่คน คือ น้องวาเลนไทน์ น้องเวย์ลานี่ น้องเวิร์คเบียร์ และ น้องเวเน่โน่ เธอก็ยังทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เฉกเช่นเดียวกับการทำหน้าที่เป็นศรีภรรยาสุดที่รักของ คุณจอนนี่ - ธิติธรรม กมลวิศิษฎ์ ก็ยังไม่ขาดตกบกพร่อง
          “ชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องของคนทั้งครอบครัว ไม่ใช่แค่สามีภรรยา ลูก แต่ยังมีคุณพ่อคุณแม่ฝั่งสามี คุณพ่อคุณแม่ฝั่งเรา การที่เราบอกว่าทำเต็มที่แล้ว ในเรื่องที่ทำต้องมองเห็นเป็นรูปธรรม จับต้องได้ เห็นชัดว่านี่คือการปฏิบัติ ทำทุกอย่างให้เหมือนๆ กัน ยกเว้นแต่ว่าวันไหน จะหมดวาระซึ่งกันและกัน” คุณเบญ กล่าวทิ้งท้าย

Photo By : Veeraphol
Author By : Ouamporn Donsingha

SHARE