counters
hisoparty

Story of Sean Buranahiran : คุยสบายๆ กับอดีตเด็กมีปัญหา สู่นักเล่าเรื่อง (ให้กำลังใจ)

4 years ago

“สวัสดีครับ ผมฌอน บูรณะหิรัญ วันนี้มาสัมภาษณ์กับ HISOPARTY ครับ ผมอยากให้คนที่ติดตาม HISOPARTY ทุกคนรู้จักผมว่าเป็นเด็กคนหนึ่งที่ชอบเรียนรู้ และชอบแบ่งปันสิ่งที่ผมเรียนรู้ ผมชอบฟังสัมภาษณ์ ชอบฟังผู้ใหญ่ และไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้, เป็นโค้ช หรือว่า Motivational Speaker มีหลายคนมักคิดว่าผมเป็นแบบนั้น แต่จริงแล้วผมเป็นแค่เด็กที่ชอบทำสื่อ ทำ YouTube เท่านั้นเองครับ”

นี่คือคำแนะนำตัวเองที่เราสัมผัสได้ถึงความถ่อมเนื้อถ่อมตัวของชายหนุ่มคนนี้ ซึ่งจัดว่าเป็น First Impression ที่เรามีต่อเขาเลยทีเดียว

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ เพราะในยุคที่โซเชียลมีเดียเฟื่องฟู การเข้าถึงการติดตามคอนเทนต์ของใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก พิสูจน์ได้จากยอด Follower ของเขาใน Facebook ที่มีกว่าสามล้านห้าแสนคน (ณ วันที่สัมภาษณ์) ยังไม่นับจำนวนยอด View ในช่อง YouTube ของเขาที่มีคน Subscribe เกือบล้าน สิ่งเหล่านี้ ทำให้เขาจัดอยู่ในกลุ่มคนที่เป็น Influencer ลำดับต้นๆ ของประเทศไทยได้สบายๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ Low-Key และ Humble เหลือเกิน

เราเริ่มต้นบทสัมภาษณ์กันสบายๆ ด้วยการให้เขาแนะนำตัวเองในข้างต้น และพูดคุยกันถึงเรื่องราวในชีวิตของเขา พร้อมคำแนะนำดีๆ ในการใช้ชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และเราอยากให้ทุกคนทำความรู้จักเขาอีกครั้งไปพร้อมๆ กัน

จริงๆ ภาพจำของพวกเรามองว่า คุณฌอนเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นคนที่คิดบวกมากๆ อันนี้ถูกต้องไหม
“อย่างที่บอก ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจนะครับ จริงแล้วผมแค่ทำคลิปสั้นๆ สั้นมากแค่ 3 นาที เล่าสิ่งดีๆ ที่ผมได้เรียนรู้มาให้คนอื่นฟังแค่นั้น โดยปกติผมเป็นคนที่พูดน้อย ส่วนใหญ่ผมจะชอบฟังชอบตั้งคำถามมากกว่า ส่วนการคิดบวกมันอาจจะเป็นเพราะว่าผมเคยเข้าเรือนจำเด็ก ซึ่งหลังจากตอนนั้น ผมต้องฝึกการเห็นโลกในแง่ดีบ้าง เพื่อที่จะเปลี่ยนตัวเองจากเด็กที่มีปัญหาครับ”

ยุคนี้มันเป็นยุคของ Cyberbullying มากๆ มักจะมีคำพูดที่ว่าร้ายกันทาง Internet เยอะมาก สำหรับคุณฌอนมีวิธีจัดการตัวเองแบบเลือกมองในแง่บวก เราอยากให้คุณฌอนแนะนำคนอื่นๆ ว่าเขาควรจะจัดการความรู้สึกเขาอย่างไร ที่จะไม่ให้เขานำสิ่งเหล่านั้นไปคิดทำร้ายตัวเอง
“โอเค Cyberbullying ใช่ไหม คนที่มา Cyberbullying เขาไม่ใช่ด่าแค่เรา เขาด่าทุกคนครับ เหมือนคนที่รีวิวร้านอาหาร ที่อเมริกาจะมีเว็บไซต์ชื่อ Yelp คล้ายๆ Wongnai ในบ้านเรา สำหรับ Yelp ถ้าเราเข้าไปดูว่าคนคนหนึ่งเขารีวิวอะไรมาบ้าง ซึ่งถ้าคนคนนี้เขาเคยไปรีวิวว่าร้านอาหารร้านหนึ่งแย่ หรือด่าร้านอาหารร้านใดร้านหนึ่ง คุณลองเข้าไปดูในโปรไฟล์เขา เราจะเห็นว่าเขาด่าทุกร้านอาหารที่เขาไป เขารีวิวร้านทุกร้านอาหารไม่ดีเลยสำหรับเขา นี่แสดงว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะเขาด่าทุกร้าน อินเตอร์เน็ตมันป็นพื้นที่ๆ เขาจะระบาย เช่นกันกับการที่ใครมาด่ามาว่าเราในอินเตอร์เน็ตมันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเลย เขาด่าทุกคน เขาไม่ได้มาโจมตีแค่เราคนเดียว ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่เราคิดได้คือ คนที่มีความสุขจะไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ คนที่มีความสุขมักอยากให้คนอื่นมีความสุข ถ้าเรามองข้ามคำพูดที่แย่ๆ แล้วเห็นใจเขา ว่าเขาน่าจะโดนพ่อแม่ด่าเขาหรือเพื่อนด่าเขา เขาถึงต้องมาทำแบบนี้ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จแล้วจะไม่มาคอยว่าคอยด่าคนอื่น ประสบความสำเร็จในที่นี้ไม่ใช่แค่เงิน แต่คือประสบความสำเร็จด้านความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นด้วย คือมีแฟนที่ดี มีสุขภาพที่ดี มีร่างกายที่ดี อันนี้คือความสำเร็จเราคงจะมีอะไรที่ดีกว่าเขา แล้วเขาคงอาจจะอิจฉาเรา (ยิ้ม) เราต้องฝึกจัดการกับความรู้สึกตัวเอง คือเข้าใจเขา ซึ่งต้องใช้การฝึกฝน ถ้าใครยังไม่ถึงจุดนั้น ก็ให้คิดว่าเขาด่าทุกคนแหละ ไม่ใช่แค่เรา ให้คิดซะว่าเขาเป็นเด็กคนหนึ่งที่มีความทุกข์อยู่ก็ได้”

มีบางคนบอกว่า คนคิดบวกคือคนที่หลอกตัวเอง คุณฌอนมองว่าอย่างไร
“หลอกตัวเองเหรอ ผมคิดว่าถ้าหลอกตัวเองให้มีความสุขได้มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ (ยิ้ม) เพราะมีบางคนชอบหลอกให้ตัวเองทุกข์ตลอด อันนี้ผมคงเลือกหลอกตัวเองให้มีความสุขครับ ย้อนไปเมื่อก่อนตอนผมเป็นเด็กโดน Bully เยอะมาก โดนเหยียด เพราะเป็นคนเอเซีย คือที่อเมริกาที่ที่ผมอยู่ไม่ค่อยมีคนเอเชีย จึงมักจะมีคนมาแซวผม มาล้อผม ผมจึงเติบโตมาด้วยความรู้สึกว่าคนที่มาแซวกำลังดูถูกเรา นั่นเป็นความคิดที่ลบหน่อยมีใครมาพูดอะไรกับผม ผมก็รู้สึกว่าโดนดูถูกตลอด แต่ว่าตอนนี้ผมได้เปลี่ยนวิธีคิดให้ดีกว่านั้น ให้บวกกว่านั้น คือเวลามีคนพูดแซวอะไรกับผม ผมจะไม่โกรธแล้ว ผมจะหัวเราะ หรือว่าแค่คิดว่าเขาอยากเป็นเพื่อน เขาแซวเพราะว่าอยากเป็นเพื่อนอะไรแบบนั้นครับ”

ครั้งหนึ่งคุณฌอนเคยเป็นเด็กก้าวร้าว หัวรุนแรง จนถึงขั้นเคยเข้าเรือนจำ อะไรทำให้คุณเปลี่ยนและกลายเป็นคนที่ดีขึ้น
“ตอนผมเข้าไปอยู่ในเรือนจำเด็ก ผมมีโอกาสได้คุยกับเด็กคนหนึ่ง เขาต้องโทษเพราะนำปืนไปปล้นขโมยรถ ตอนนั้นผมถามเขาว่า พอออกจากที่นี่แล้วจะไปทำอะไร เขาบอกว่าเขาก็จะทำเหมือนเดิม ซึ่งพอได้ฟัง อะไรไม่รู้ที่สะดุดใจเรา เพราะตัวผมเองหลังจากอยู่ในเรือนจำ ผมคิดแต่ว่าเราต้องปรับ แต่ว่าเขาคนนี้ไม่รู้ว่าเขาต้องปรับปรุงตัว ตอนนั้นทำให้รู้ตัวเองเลยว่าเราไม่เหมาะกับที่นี่ เราไม่นักเลงพอที่จะอยู่ที่นี่ แล้วออกไปทำเหมือนเดิมเรื่อยๆ ตอนนั้นพอผมออกจากเรือนจำ ผมจะมีเครื่องติดตามตัวที่เป็นเซ็นเซอร์ห้ามออกจากบ้าน 2 เดือน แต่ว่าผมออกจากบ้านได้ถ้าผมได้รับใช้สังคม 1,000 ชั่วโมง ไปที่โบสถ์ทำความสะอาดห้องน้ำ กวาดใบไม้ ซึ่งตอนนั้นผมมีผู้คุมที่เป็นเด็กมหาวิทยาลัยอายุ 25 ปี ชื่อไบรอันเขาเรียนปรัชญา ผมใช้เวลากับเขา 1,000 ชั่วโมง ซึ่งเขาจะชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดปรัชญาให้เราฟัง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการคิดบวก เกี่ยวกับกฎแรงดึงดูด เช่นถ้าเรามีเป้าหมายเราต้องจินตนาการถึงมันทุกวันตอนเช้าและก่อนนอน คืออารมณ์ต้องมาด้วยเหมือนเราอยากจะชนะมวย ก็ต้องจินตนาการว่าชนะแล้ว แบบยกมือขึ้นเหมือนชนะจริงๆ ผมได้ทำเป้าหมายแรกตอนอายุ 16 ผมอยากจะเป็นนักมวยก็เลยฝึกมวยมาตลอด เพราะไหนๆ ก็ต่อยกับคนอยู่แล้วครับ (ยิ้ม) ซึ่งจุดเปลี่ยนของผม น่าจะเป็นจากไบรอัน ที่ผมได้มีโอกาสใช้เวลากับเขา 1,000 ชั่วโมง สิ่งนี้ผม
ไม่แน่ใจว่าของไทยมีหรือเปล่า แต่การให้เด็กได้รับใช้สังคม และได้มีเวลากับนักศึกษาที่เรียนจิตวิทยา หรือปรัชญาผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะครับ”

ด้วยอิทธิพลจากคุณไบรอันหรือเปล่าที่ทำให้คุณฌอนได้นำสิ่งดีๆ มาแชร์ หรือว่าเขาแนะนำหนังสือ หรือบุคคลดีๆ ให้กับคุณฌอนรู้จัก
“ไบรอันทำให้ผมดูสารคดี The Secret ผมเริ่มดูคลิปใน YouTube ที่มีประโยชน์มากกว่าคลิปบันเทิง พอดูอะไรแบบ The Secret เกี่ยวกับความสำเร็จ กฎแรงดึงดูด เรื่องที่เป็นทำนองเดียวกันก็จะมีขึ้นมาเรื่อยๆ ผมจึงได้ดูไปเรื่อยๆ ทำให้ผมมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างตัวเองตั้งแต่อายุ 18 ครับ ส่วนท่านมหาตมะ คานธี ผมชอบตั้งแต่เด็กแล้ว และมาร์ติน ลูเทอร์ คิง ผมชอบมาก เขาคือนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนเพื่อที่จะให้คนอัฟริกันเท่าเทียมกับคนผิวขาว เขาได้ใช้คำพูดเพื่อที่จะเปลี่ยนสังคมของเขา ท่านคานธีก็ใช้ Hunger Strike ต่อสู้แบบสันติวิธีด้วยการอดอาหาร ซึ่งตอนเด็กๆ ที่ผมได้รับรู้เรื่องของเขาทำให้ผมอยากจะทำอะไรแบบนั้นบ้างอยากช่วยโลกช่วยสังคม อยากจะทำอะไรเหมือนพวกเขา ตอนนั้นผมคิดว่าผมต้องแก่ก่อน เพราะทุกคนที่ผมเห็นเขาอายุราวๆ 40-50 ปี แต่ว่าตอนนี้มีหลายคนพิสูจน์แล้วว่าไม่ต้องรอแก่ อย่าง เกรตา ธันเบิร์ก อายุราวๆ 16 ปี แต่สามารถสร้าง Impact ระดับโลกซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นที่เราจะต้องมีอายุครับ เราถึงจะสามารถทำสิ่งดีๆ ให้กับโลกได้ การที่ผมได้รู้จัก คานธี และมาร์ติน ลูเทอร์ คิง ผมได้เรียนรู้ว่าชีวิตเขามีความหมาย ผมรู้สึกว่าผมผูกพันกับพวกเขา ทำให้ตั้งแต่ตอนนั้น ผมอยากทำอะไรให้ชีวิตตัวเองมีความหมายครับ”

ส่วนตัวคุณฌอนคิดว่าเด็กรุ่นใหม่ควรมีคุณสมบัติอย่างไรที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
“ผมคิดว่าเขาควรเป็นคนที่รักการเรียนรู้ ซึ่งไม่ใช่เรียนรู้แค่ในโรงเรียนนะครับ อย่างบางคนเรียนจบแล้วคิดว่าไม่ต้องเรียนรู้แล้ว สำหรับผมคิดว่าการเรียนรู้เราต้องเรียนทุกวัน มีคำคมหนึ่งเขาบอกว่าถ้าคุณมีอายุร้อยปี คุณต้องเรียนรู้ร้อยปีต้องเรียนรู้ตลอด ตัวผมเองก็รักการเรียนรู้ อีกอย่างที่เด็กรุ่นใหม่ควรมี คือความยืดหยุ่น ถ้าเขายืดหยุ่นได้ผมว่าเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักครับ คือไม่ใช่ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่วางแผน หรือว่าเป็นไปตามที่เขาต้องการ หลายอย่างมันยืดหยุ่นได้ ซึ่งการที่เรามีความยืดหยุ่นสูงทำให้มีความคาดหวังน้อยลง มีคำคมหนึ่งที่ผมเคยได้มีโอกาสคุยกับผู้บริหารของดุสิตธานี ผมถามเขาว่ามีประโยคไหนที่เปลี่ยนชีวิตเขาไหมเขาบอกว่า Hope For The Best But Expect The Worst. ผมก็ชอบคำนี้ครับ ถ้าเด็กๆ เอาไปใช้ ผมว่าเยี่ยมเลย”

ในฐานะของนิตยสารไฮไซปาร์ตี้ คนอ่านของเราแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นด้านเงินทอง ชื่อเสียง แต่ว่ามีอีกหลายคนที่เขาเหล่านั้นไม่ประสบความสำเร็จในด้านความสุข คุณฌอนคิดว่าเขาควรทำอย่างไร
“ผมเคยมีความรู้สึกแบบนี้นะ ตอนที่เก็บเงินซื้อ BMW i8 คือพอซื้อมาแล้วรู้สึกว่ามีความว่างเปล่า มีความเศร้านิดนึงแล้วผมก็แปลกใจ ผมก็คุยกับพีช (คุณอรณิชชา เพ็ญวรรณ) ว่า What Is This? คือผมใฝ่ฝันถึงรถคันนี้มาตั้งแต่มันออกมาใหม่ๆ ปี 2014 ทำงานเก็บเงินแล้วมีความสุขมากที่มีความฝันนี้ ซึ่งพอได้มันมากลายเป็นว่าเป้าหมาย หรือสิ่งที่ทำให้มีความสุขมันหายไป เหมือนครั้งหนึ่งเราเคยเอาภาพมันมาเป็น Background จอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แล้วพอเราได้มันมาแล้วเราก็เปลี่ยน Background เหมือนสิ่งที่ทำให้มีความสุขมันหายไป หลายคนรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ผมเคยได้ยินเรื่องหนึ่งของ เฉินหลง คือเขามี Supercar ในฝัน แต่ว่าเขาไม่เคยซื้อเลย เขาบอกว่าเขาจะเก็บไว้เป็นความฝัน เพราะมันมีความสุขกว่า ดังนั้นผมคิดว่าเป้าหมายที่จะทำให้เรามีความสุขคือ เป้าหมายที่ไม่ใช่เป็นสิ่งของ แต่เป็นเป้าหมายที่เราทำไปได้เรื่อยๆ แล้วมันน่าจะเป็นสิ่งที่ให้ความหมายกับชีวิตเราเหมือนอีลอน มัสก์อยากไปดาวอังคาร หรืออย่าง บิล เกตส์ ที่เขามีความฝันว่าเขาจะทำให้ไม่มีโรคโปลิโอในโลกใบนี้ เขาอยากให้ประเทศที่กำลังพัฒนามีห้องน้ำที่ดี เพราะว่าบิล เกตส์ เห็นว่าการที่ไม่มีห้องน้ำที่ดี ผู้คนจะเข้าห้องน้ำในแม่น้ำ พอเข้าห้องน้ำในแม่น้ำเด็กๆ ที่อยู่ใต้แม่น้ำเมื่อลงไปเล่นน้ำเขาเหล่านั้นก็จะติดโรคกัน ความฝันของ บิล เกตส์ ไม่ใช่สิ่งของ นี่จึงทำให้ชีวิตเขามีความหมาย มีความสุขทุกวัน ผมรู้สึกว่าการที่เราจะมีความสุข เราต้องมีเป้าหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งของ และเราสามารถทำไปได้เรื่อยๆ ซึ่งยิ่งมีประโยชน์ให้คนอื่น เราจะยิ่งรู้สึกมีความสุขครับ”

ขอบคุณเสื้อผ้า : CLUB21
Story by Arunlak
Photo by Veerapol

SHARE